ความตั้งใจของเราที่เราถวายกองทานพระพุทธเจ้านั้น เป็นการแสดงออกของเราที่เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความกตัญญูกตเวทิตา เมื่อถึงเวลาอาหารที่พวกเราจะฉันและรับประทานอาหารเอง เราก็ระลึกถึงพระคุณท่าน จัดการถวายภัตตาหารต่อพระพุทธเจ้าทั้งหลายและถวายแก่เทพพรหมทั้งหลายเสียก่อน อันนี้ก็ถือเป็นประเพณีสืบเนื่องกันมา
วันนี้อาตมาอยากจะคุยถึงเรื่องแนวทางโพธิสัตต์ ที่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้โดยเฉพาะ เพราะได้เห็นพี่น้องทั้งหลายทั้งที่บวชและยังไม่ได้บวช ตั้งใจช่วยกันทำงานของส่วนรวมด้วยความสามัคคี มีความสามัคคีเป็นที่ตั้ง ทุกคนเหนื่อย แต่ไม่มีใครบ่น ตรงกันข้ามเกิดความเบิกบานในจิตใจ ที่ได้เห็นงานสำเร็จลุล่วงไป อาตมาจึงคิดว่าเราน่าจะพูดถึงเรื่องโพธิสัตต์ซึ่งเป็นแนวทางที่วัตรนี้ถือปฏิบัติมาเป็นเวลากว่า 40 ปี
แนวทางโพธิสัตต์นั้นไม่ใช่เรื่องของการเป็นเถรวาทหรือมหายาน แนวทางโพธิสัตต์เป็นแนวทางชีวิตที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงปฏิบัติมาแล้วถึง 500 ชาติ เพราะฉะนั้นเราควรที่จะพิจารณาความหมายของคำว่าโพธิสัตต์ คำว่า โพธิ แปลว่า " การรู้แจ้ง การตรัสรู้ การเป็นผู้ตื่นผู้เบิกบาน "
สัต-ตะ ไม่ได้เเปลว่าสิ่งมีชีวิต แต่ตรงนี้แปลว่า ผู้กล้า ผู้กล้าหาญ ทำไมแนวทางโพธิสัตต์จึงเป็นแนวทางของผู้กล้าหาญในการที่จะยึดมั่นในการตรัสรู้เป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิตของเรา เพราะว่าแนวทางโพธิสัตต์นั้นเมื่อยึดมั่นในโพธิว่าเป็นแนวทางสูงสุดในชีวิตแล้ว เราก็เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ปรารถนาที่จะให้คนอื่นไปถึงซึ่งการบรรลุธรรมขั้นสูงสุดด้วย
เมื่อเรามีแนวทางนี้เป็นแนวทางชีวิตทางจิตวิญญาณ เราจึงจำเป็นที่ต้องมีสายตาที่กว้างไกล ดูแลคนใกล้ชิด ดูแลสังคมของเรา ไม่ใช่ทำเฉพาะตัว ถ้าเราต้องการปฏิบัติธรรมเฉพาะตัวหลีกลี้สังคมไปอยู่ตามป่าตามเขาก็สามารถที่จะปฏิบัติได้ แต่แนวทางโพธิสัตต์เป็นแนวทางของคนที่จะตั้งใจที่จะทำงานเพื่อตัวเราเอง ขณะเดียวกันก็เพื่ออื่นด้วยเห็นว่าแนวทางของผู้ที่จะปฏิบัติเพื่อนการละวางขั้นสูงสุดนี้เป็นแนวทางอันเกษมเป็นแนวทางที่ควรเปิดเผยชักชวนให้คนอื่นที่ที่ยังไม่ศรัทธาให้ หันมาศรัทธา หันมามีความสนใจ แล้วเราก็จะปฏิบัติไปด้วยกัน โดยเฉพาะพี่น้องดอนชี แม่ชีเขมร ผ่านความยากแค้น ผ่านความยากลำบากมาจากการต่อสู้ เราต้องพบกับความพลัดพราก เราได้พบกับความทุกข์ที่สุดในชีวิต แม้ชีวิตของเราที่เหลือรอดมาก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ เพราะฉะนั้นชีวิตที่เหลือนี้เรามาร่วมใจกันถวายเป็นพุทธบูชา ไม่ว่าชีวิตของเราจะเหลืออีกกี่ปี มากปี น้อยปี 2ปี,10ปี,20ปี ถ้าเรามีชีวิตลำพังตัวเราเอง สาระของชีวิตมันไม่ค่อยมี สาระความหมายของชีวิตมันเกิดเมื่อเรามองไปไกลกว่าตัวเราเอง เรามาตั้งใจปฏิบัติตั้งใจอุทิศเวลา ตั้งใจอุทิศแรงกาย แรงใจ ความรู้ ความสามารถ ถวายเป็นพุทธบูชา โดยการที่เราจะตั้งใจปฏิบัติในส่วนตนให้มั่นคง ช่วยเหลือคนอื่นให้มากที่สุดที่เราจะช่วยได้ ในการช่วยเหลือคนอื่นนั้นเราจะได้ละวางความสุขส่วนตน ที่สำคัญในแนวทางโพธิสัตต์ก็คือเราต้องละวางจากการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน และก้าวไปอีกจุดหนึ่ง ก้าวไปอีกก้าวหนึ่ง เราต้องละวางความยึดมั่นถือมั่นแม้ในสรรพสัตว์สรรพสิ่ง จึงจะเป็นวิธีการทำความเข้าใจตามคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างแท้จริง
ถ้าจะถามว่าใครจะเป็นพระโพธิสัตต์ได้ โพธิสัตต์นั้นเริ่มจากการมีโพธิจิต ก็คือจิตที่ตั้งมั่นว่าการละวางกิเลส ละคลายทุกข์ มีการตรัสรู้เป็นจุดมุ่งหมายในชีวิตของเรา เรามีความมั่นคงเช่นนี้ เรียกได้ว่าโพธิจิตเกิดขึ้นแล้วในใจของเรา มนุษย์ทุกคนที่เกิดมามีสิ่งที่เรียกว่าพุทธพีชะ ก็คือเมล็ดพืชน้อยๆในใจของเราที่จะก้าวไปสู่ความหลุดพ้น เรามีความเสมอภาคกันตรงที่ว่าแต่ละคนต่างมีศักยภาพเช่นนี้มา แต่มันขึ้นอยู่กับเราแต่ละคนว่าเราจะให้ความสนใจกับเมล็ดพืชน้อยๆนี้ที่เราได้มาแต่เกิดหรือไม่
ถ้าเราสนใจหมั่นรดน้ำพรวนดิน เมล็ดพืชน้อยๆนี้ก็จะหยั่งรากเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นต้นไม้น้อยๆค่อยเจริญขึ้นมาเป็นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาแก่คนอื่น
ลักษณะของโพธิสัตต์ก็เป็นเช่นนั้น เมื่อเรามีโพธิจิตแล้วตั้งมั่นหยั่งรากได้ดีเราก็ตั้งปณิธานอธิษฐานจิต
ปณิธานของพระโพธิสัตต์นั้นมีสี่ประการก็คือ การตั้งปณิธานว่า
1) เราจะพยายามเข้าถึงการตรัสรู้ การรู้แจ้ง
2) เราจะพยายามช่วยเหลือโปรดสัตว์ทั้งหลายให้เข้าถึงให้ได้เข้าสู่พระนิพพานเช่นกัน
3) เราจะเพียรพยายามเรียนรู้วิชาการเพื่อให้เรามีโอกาสมีความสามารถในการที่จะเผยแผ่ธรรมะได้กว้างไกล
4) เราจะช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้ข้ามสังสารวัฏไปพร้อมๆกันกับเรา
เมื่อตั้งปณิธานแล้ว โพธิสัตต์จะมีศีล ศีลโพธิสัตต์สำหรับฆราวาสมี 34 ข้อ ในขณะที่โพธิสัตต์ที่เป็นนักบวชจะรับศีลอีกส่วนหนึ่งมี 58 ข้อ ในศีลโพธิสัตต์นี้เองที่จะช่วยให้เราก้าวเดินอย่างชัดเจน
ศีลโพธิสัตต์จะบังคับให้เราตั้งใจหมั่นเพียรขยันในการศึกษาพระธรรมเสมอ ไม่มีที่จะว่าศึกษาหมดแล้ว จบแล้ว ไม่มี เพราะว่าธรรมะนั้นใหญ่หลวงกว้างไกล เราศึกษาไม่จบไม่สิ้น เราหมั่นเพียรที่จะศึกษาธรรม ชีวิตของโพธิสัตต์เป็นชีวิตที่ต้องมั่นคงเพราะว่าความสนใจของเรากว้างไปกว่าเพียงการหลุดพ้น เพราะฉะนั้นฐานของศีลโพธิสัตต์จึงเอื้อให้เราช่วยคนอื่นด้วย ลำพังเราถือศีลห้า ศีลแปด ถือศีลสิบ ถ้าหากว่ามีสามีภรรยาเขาทุบตีกันอยู่หน้าวัตร เราก็บอกว่าเรารักษาศีลของเราบริสุทธิ์แล้ว เขาตีกันนั้นเป็นวิบากของเขา ก็ให้เขาตีกันต่อไป เราก็วางอุเบกขาไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องของชาวบ้าน แต่ทันทีที่เราถือศีลโพธิสัตต์ ถ้าเราปล่อยให้ผัวเขาทุบตีเมียเขาอยู่หน้าวัตร เราละเมิดศีลโพธิสัตต์เพราะศีลโพธิสัตต์ระบุเอาไว้ว่าหากเราอยู่ในโอกาส อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เราจะช่วยเหลือเขาได้ แล้วเราไม่ช่วยเหลือเขา เราละเมิดศีลของเราเอง นอกจากนี้ศีลของโพธิสัตต์ของฝ่ายบรรพชิต เพราะว่าเราเป็นผู้ที่สอนเรื่องเมตตากรุณา ศีลโพธิสัตต์จึงระบุไม่ให้เราละเมิดชีวิตจะห้ามไม่ให้เรากินอาหารเนื้อสัตว์ เพราะฉะนั้นคนที่บวชรับศีลโพธิสัตต์ ถ้าเป็นนักบวชก็ต้องถือมังสวิรัติด้วย
สำหรับคนที่ไม่ได้เจริญเมตตาไม่ได้เจริญกรุณา อยู่ดีๆจะบอกเลิกกินเนื้อสัตว์ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะว่าความเคยชิน ของความอร่อยที่ลิ้นที่เรากินมาเป็นเวลา 50-60 ปี ตามอายุของเรา ความพอใจที่ลิ้นนี้มันจะผูกพันอยู่นาน แต่เมื่อเราได้เจริญเมตตา กรุณา เราก็จะรู้จักรักชีวิตของเราเอง ความรักชีวิตของเราเองนี้มันจะแผ่ออกไปถึงการรักชีวิตคนอื่นด้วย คนที่พรากจากลูกจากผัว ในขณะที่เขามาพรากลูกพรากผัวของเราไป เราก็จะร่ำร้องขอชีวิตลูกขอชีวิตผัวเอาไว้ ฉันใดก็ฉันนั้น สัตว์ที่มาเป็นอาหารของเราไม่มีตัวไหนเลยที่จะดีใจที่จะชวนเชิญให้คุณโยมมาฆ่าเถิดเพื่อว่าฉันจะได้มาเป็นอาหารคุณโยม ไม่มีสัตว์ตัวใดที่จะเป็นอย่างนั้น โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่เช่น วัวเวลาที่เขาจะเอาวัวไปฆ่า วัวมันจะรู้ตัวเวลาที่เขาเสือกใสมันขึ้นรถโกดัง มันจะร้องไห้น้ำตาไหลเหมือนกับคน
อาตมาเล่าเรื่องลูกศิษย์ที่ตามไปอินเดีย ที่ประเทศอินเดียนั้น ส่วนใหญ่แล้วเขาไม่กินเนื้อสัตว์เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราสั่งแกงไก่เขาก็ต้องฆ่าไก่เดี๋ยวนั้น เขาไม่มีสัตว์ฆ่าแล้วแช่แข็งที่เราสามารถจะไปซื้อได้ในซุบเปอร์มาร์เก็ต อาตมาก็ขอร้องลูกศิษย์เมื่อต้นปีนี้เอง (2545) ที่พาลูกศิษย์ไป 40กว่าคน ขอร้องลูกศิษย์เอาไว้ว่าถ้าไปอินเดียเป็นไปได้ให้ถือมังสวิรัติ ลูกศิษย์ก็ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมถึงสั่งอย่างนั้น ทีนี้ก็มีวันที่ออกมาจากพุทธคยามาด้วยกัน 2 คันรถ อาหารกลางวันอยู่ที่รถคันที่ 2 รถคันที่ 1 ไปถึงจุดพักกลางทางก่อน แต่ไม่มีอาหาร เขาก็เริ่มสั่งอาหารกันเอง สั่งอาหารจากร้าน
ข้างทาง ก็สั่งแกงไก่พอสั่งแกงไก่ไปสัก 10 นาทีก็มีรถมอเตอร์ไซค์ วิ่งเข้ามามีเด็กซ้อนท้ายหิ้วไก่หัวห้อยมาเลยทีเดียว ไก่เป็น ๆ ไก่ก็ร้องใหญ่ พอเด็กลงจากรถไก่หลุดลงจากมือ ก็วิ่งเข้ามาในห้องที่เรานั่งรออาหารอยู่ เด็กก็วิ่งไล่จับไก่เป็นเอิกเกริก ลูกคนที่สั่งแกงไก่ก็ถึงได้ทำความเข้าใจว่าทันทีที่เราสั่งแกงไก่ ก็คือเราสั่งให้ฆ่า เราต้องรับผิดชอบโดยตรงกับการฆ่าไก่นั้น เราฆ่าไก่ไป 3-4 ตัวแล้วเราก็อิ่มเพียงมื้อเดียว วันรุ่งขึ้นมันก็กลายเป็นขี้ไปแล้ว สมควรที่จะละเมิดชีวิตเขาไหม กับเพียงความอยากกินชั่ว 5-10 นาที อาตมาก็ไม่พูดอะไร เขาก็รีบสั่งเลิก ๆ แล้วที่สั่งแกงไก่เลิกแล้ว
ลูกอีกคนหนึ่งเขาอยากกินแกงเนื้อแพะมาก ตั้งใจไปตั้งแต่จากเมืองไทยว่าไปอินเดียเที่ยวนี้จะกินแกงเนื้อแพะ ไม่ว่าเราจะไปยืนที่ไหนมันก็จะมีแม่แพะลูกแพะมาร้องอยู่ข้าง ๆ ไปยืนสั่งน้ำทับทิมเขาก็แกะเปลือกทับทิมคั้นน้ำ คนขายก็โยนเปลือกลงไปที่พื้น แพะก็มากินเปลือกทับทิม แม่แพะลูกแพะน่าเอ็นดูน่ารักเหลือเกิน ลูกแพะก็จะวิ่งอยู่ข้างขาแม่เขา เมื่อเราสั่งกินเนื้อแพะเราก็ต้องกินลูกเขา หรือไม่งั้นก็ต้องกินแม่เขา เราก็ทำให้แม่ลูกก็ต้องพลัดพรากเหมือนกับเราไหม เหมือนกับเราที่ต้องพรากจากลูกจากผัวเราไหม เราเคยรู้สึกถึงความเจ็บปวดนั้นฉันใด ความเจ็บปวดของลูกแพะแม่แพะก็ฉันนั้น
ทีนี้เดินไปบ้านนางสุชาดา เราก็ต้องผ่านหมู่บ้าน ทุกบ้านเขาจะเลี้ยงแพะเพื่อที่จะกินนมแพะ คนไทยหลายคนก็ตื่นเต้นว่าน่ารักเหลือเกิน ถ่ายรูปกันใหญ่แม่แพะแล้วก็ลูกแพะ แล้วเราก็จะกินเนื้อแพะ ปรากฎว่าลูกคนที่ตั้งใจที่จะไปกินเนื้อแพะก็เกิดความสลดใจว่าไอ้ความอยากกินของเรา จะไปพรากลูกพรากแม่เขา เที่ยวที่ไปอินเดียเที่ยวนั้นจนกลับก็ไม่ได้กินแกงเนื้อแพะ อาตมาก็นึกโมทนาในใจว่าการไปเที่ยวอินเดียเที่ยวนี้ทำให้เขาได้เห็นธรรมชาติของชีวิตที่ใกล้ชิดมากขึ้น คนไทยอยู่ในกรุงเทพเป็นเมืองใหญ่ไม่ค่อยเห็นวงจรชีวิต เราไม่ค่อยเห็นวงจรอาหารที่อยู่บนโต๊ะเรา เวลาที่เราจะทำแกงไก่ที่บ้านไก่มันเป็นชิ้น ๆ อยู่ในถาดพลาสติกมีพลาสติกห่อมาเราก็ไม่ได้รู้สึกว่า จริงแล้วเราเป็นผู้พรากชีวิตสัตว์ เราไม่ค่อยได้รู้สึกว่าเราพรากชีวิตเขา เราไม่ค่อยรู้สึกแท้ที่จริงแล้วเราก็กำลังละเมิดศีลข้อปาณาติปาต แต่ถ้าหากว่าเราพิจารณาธรรมะให้ชัดเจนขึ้น เห็นวงจรชีวิต อาหารที่เรารับประทานเราเห็นวงจรของมัน ข้าวที่เรารับประทานแต่ละเมล็ดมันมาจากเหงื่อของชาวนาเมื่อมาอยู่ในจานเรา เราต้องกินด้วยความเคารพ กินให้หมดอย่ากินให้เหลือกินทิ้งกินขว้าง เพราะว่าอาหารที่มานั้นมาด้วยความยากลำบากของคนหลายคนเหลือเกิน เพราะฉะนั้นเวลาที่เรากินอาหารเราจึงต้องให้พร ขอบคุณผู้ที่ถวายทาน ขอบคุณแม้กระทั่งชาวนาที่ปลูกข้าวให้เรากิน วงจรของอาหารที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าของเราที่เรา
"ปฏิสังขาโย" นั้นเป็นวงจรที่ใช้ชีวิตของมนุษย์หลายคนกว่าที่อาหารจะมาตั้งอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้าเราได้ ถ้าเราได้พิจารณาอย่างนี้พิจารณาด้วยความเมตตาพิจารณาด้วยความกรุณา เราจะเห็นว่าทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นเราต้องมีส่วนช่วยรับผิดชอบด้วยทั้งสิ้น
อาตมาขอเล่าเรื่องเล็กๆซึ่งเป็นเรื่องของธิเบต จะช่วยเตือนสติเราได้อีกเรื่องหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังอุ้มลูก ลูกก็กินนมตัวเองอยู่ ผู้หญิงคนนั้นก็นั่งกินปลา เอาเนื้อปลาใส่ปากตัวเอง แล้วก็โยนก้างปลาไปให้หมา มีอาจารย์ท่านหนึ่งเดินผ่านมา อาจารย์ท่านนั้นก็พูดเปรยขึ้นมาว่า
" ดูเถิดโอบกอดไว้ซึ่งศัตรู กินเนื้อแม่แล้วก็โยนกระดูกแม่ให้พ่อกิน " เพราะว่าชีวิตเราเกิดมาหลายชาติ ลูกน้อยๆที่ผู้หญิงนั้นอุ้มอยู่อดีตเป็นศัตรู ปลาที่ผู้หญิงคนนั้นกินอดีตคือแม่ ก้างปลาที่โยนให้หมากิน หมานั้นอดีตคือพ่อ นี่คือวัฎฏะของชีวิต ถ้าหากเราปฏิบัติธรรมได้เห็นวัฏฏะนี้ เราก็จะสามารถเจริญเมตตากรุณาให้เต็มเปี่ยมในใจของเรา เราได้เบียดเบียนชีวิตมามากมายอายุมากขนาดนี้แล้ว เรายังอยากจะเบียดเบียนต่อหรือ? แนวทางโพธิสัตต์เป็นแนวทางที่เราจะช่วยตัวเองและเราจะเกื้อหนุนชีวิตของคนอื่นด้วย ไม่ใช่เฉพาะแต่เกื้อหนุนชีวิตเท่านั้น แต่เกื้อหนุนให้เขาเข้าสู่หนทางอันเกษม
อาตมาพยายามที่จะดำเนินรอยตามโพธิสัตต์ ดำเนินรอยตามองค์สมเด็จพระสัมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพุทธบิดร น้อยที่สุดอาตมาจะพึงทำได้ก็คือความเผื่อแผ่ความรู้สึกเผื่อแผ่ความคิดนี้ให้กับพี่น้อง เวลาอาตมาพูดถึงพี่น้องอาตมาไม่ได้พูดในลักษณะของคำพูดสวยๆเพราะๆ แต่อาตมาพูดจากความจริงเพราะว่าเราน่าจะเป็นพี่น้องกันจริงๆ แม้จะไม่ใช่ชาตินี้ก็น่าจะเป็นจากอดีต มิฉะนั้นเราคงไม่ได้มีโอกาสได้มาร่วมกุศลกันในพรรษานี้ อาตมาจึงขอเจริญพรทุกๆคนด้วยเรื่องโพธิสัตต์ ด้วยเรื่องมังสวิรัติตามหน้าที่ของอาตมา
ขอเจริญพรค่ะ.
|