ตรงนี้อาตมาจะสรุปว่าถ้าเรารู้ตั้งแต่ต้นว่าความรู้ที่เรามีอยู่นั้นเป็นความรู้เพียงส่วนเดียว
เราก็จะเกิดความนอบน้อมถ่อมตน
นอบน้อมถ่อมตนที่จะเปิดประตูเปิดใจ
เปิดท่าทีของเราไว้ว่าเราจะสามารถเรียนรู้ความรู้ใหม่ได้เสมอ
ความรู้ที่เรารู้ไม่ใช่ความรู้เบ็ดเสร็จนั่นก็คือเราตระหนักว่า
สิ่งที่เรารู้จากประสบการณ์ของเรา
ความรู้ของเรานั้นมีเพียงนิดเดียว
เมื่อเรามีท่าทีที่เปิดอย่างนี้
เราก็เป็นคนที่สามารถจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้
มาถึงในส่วนของการพัฒนาชีวิต
อาจจะลองดูจุดประสงค์ของชีวิต
คุณโยมหลายคนเป็นย่าเป็นยายคนแล้วอาจจะยังไม่ได้เคยคิดถึงประเด็นนี้
แล้วก็ทึกทักเอาว่าชีวิตมันก็เป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ลองตั้งต้นกันใหม่
หลังจากที่อาตมาเล่าไปยาวแล้วนะคะว่าความรู้ที่เรามีอยู่นั้นแท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ความรู้เบ็ดเสร็จนะคะเป็นความรู้ที่เรารู้เพียงส่วนเดียว
แม้กระทั่งชีวิตเราก็เหมือนกัน
เรารู้รึเปล่าว่าจุดประสงค์ของชีวิตเราคืออะไร
คุณโยมพิจารณาจริงๆซิ
อยู่มาหัวหงอกแล้วนะบางทีหัวหงอกก็หัวหงอกไปอย่างนั้นแหละนะคะ
ไม่ได้ตั้งใจพิจารณาจุดประสงค์ของชีวิตอย่างแท้จริง
ว่าจุดประสงค์ของชีวิตเรานั้น
เรามุ่งหวังอะไร
ในชีวิตทั่วๆไปปุถุชน
ปุถุชนก็คือสามัญชนทั่วๆไป
ปรารถนาที่จะมีชีวิตที่สุขสบาย
อาตมาแยก 2คำนะคะ สุข สบาย
ในส่วนของความสบายเป็นเรื่องของกาย
ทำอย่างไรที่จะให้สบายก็ต้องเหนื่อยนะคะ
เพราะคิดว่าเงินเป็นส่วนที่ซื้อความสบายได้
ทำอย่างไรที่จะมีเงิน
ก็ต้องมีการศึกษาดี
เราจึงต้องเพียรศึกษาเพื่อให้มีความรู้สูงๆ
การทำงานของเราก็จะได้เป็นการทำงานที่ลงแรงน้อยได้เงินมาก
เราต้องทำมาหากิน
หนทางของการทำมาหากินมาจากฐานของการศึกษา
มาจากฐานของประสบการณ์
ประกอบกับความขยันหมั่นเพียร
วิริยะ อุตสาหะ
เราถึงจะสามารถทำมาหากินชนิดที่ว่ามีเงินทอง
พอใช้พอจ่าย
นำไปสู่ชีวิตที่สบายกาย
กายที่สบาย
เวลาที่เราพูดถึงสบาย
หมายถึงว่า
มีบ้านช่องอยู่มีที่หลับที่นอน
มีอาหารการกินที่ดี
มีพาหนะ ยวดยานพาหนะที่ดี
อันนี้กายก็สบาย
ในส่วนของความสุข
ความสุขเป็นคุณภาพใจ
ตัวนี้เองที่ซื้อไม่ได้
เงินก็ซื้อไม่ได้
การศึกษา
ให้มีการศึกษาสูงอย่างไรก็ซื้อไม่ได้
ทำมาหากินมากมายมหาศาล
เงิน10ล้าน100ล้านก็ไม่สามารถที่จะซื้อความสุขได้
ความสุขเป็นเรื่องของใจที่แต่ละคนต้องทำเอง
|