วันนี้เราจะพิจารณาถึงเรื่อง
มายาคติที่ปรากฏหรือที่แอบแฝงอยู่ในพุทธศาสนา
คำว่า มายาคติ แปลว่าอะไร
คติคือความเชื่อ
มายาคือของหลอกไม่ใช่ของจริง
ที่มันไม่เป็นจริง
พุทธศาสนานั้นเกิดขึ้นในชมพูทวีปซึ่งเป็นดินแดนที่มีศาสนาพราหมณ์เกิดขึ้นก่อนนั้น
เพราะคณะสงฆ์ในสมัยแรกก็มาจากบริบทของสังคมที่เป็นสังคมของความเชื่อของศาสนาพราหมณ์มาก่อน
ถ้าเราไม่ตั้งหลักให้ดีเราไม่เข้าใจใน
องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แท้จริง
เราก็จะมาติดกับอยู่ในความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ซึ่ง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ก้าวล่วงมาแล้ว
เจตนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
ตั้งใจจะสอนเพื่อความหลุดพ้นสารัตถะแท้
ๆ
ของพุทธศาสนาอธิบายอย่างง่ายที่สุดมีเพียงให้
รู้จักทุกข์
แล้วก็ให้แสวงหาทางดับทุกข์
ถ้าหากเราจับเจตนารมณ์ของพุทธศาสนาได้
เราจับแก่นแท้ของพุทธศาสนาได้อะไรก็ตามที่เป็นความเชื่อ
ที่ทำให้แก่นแท้ของพุทธศาสนาไม่สามารถจะเป็นจริงได้
อาตมา
คิดว่าอันนั้นเป็นอุปสรรคที่เราจะต้องก้าวข้าม
ในสมัยแรกนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ปรารถนาที่จะให้มีพระวินัยด้วยซ้ำไป
พระสารีบุตรได้ทูลถามเรื่องพระวินัย
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารับสั่งว่ายังไม่ถึงเวลาอันควร
เพราะว่าบรรดาพระสงฆ์ที่มาบวชในสมัยแรก
ก็ล้วนแล้วแต่บรรลุแล้ว
ถึงได้ขอเข้ามาบวช
สำหรับผู้ที่บรรลุแล้วจิตใจบริสุทธิ์แล้วไม่ได้ติดกับอยู่ในกิเลสทั้งหลายแล้ว
วินัยแทบจะไม่ใช่เรื่องที่สำคัญ
และต่อมาเมื่อคณะสงฆ์เจริญเติบโตขึ้นเกิดระเบียบวินัยมากขึ้น
แต่เราต้องทำความเข้าใจว่ากฎระเบียบนั้น
กไก่ ฎ ชฎา
ไม่ใช่มีไว้สำหรับกด
กไก่
ด เด็ก
ไม่ใช่มีไว้สำหรับกดข่มคณะสงฆ์แต่กฎระเบียบเหล่านั้น
เกิดขึ้นเพราะว่ามันมีคดีเกิดขึ้นเพื่อมิให้เหตุเหล่านั้นเกิดขึ้นซ้ำซ้อนอีกจึงวางไว้เป็นกฎเกณฑ์ที่เรียกว่า
พระวินัย
ส่วนในข้อห้ามเฉพาะเรียกว่า
พระปาติโมกข์
อย่างเช่นข้อแรกในปาราชิกที่ห้ามมิให้ล่วงเกินทางเพศ
ก็เพราะว่ามีคดีของพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อท่านสุทิน
ๆ
เป็นพระที่ตั้งใจปฏิบัติดี
แต่เนื่องจากเมื่อกลับไปเยี่ยมครอบครัว
พ่อแม่เห็นว่าไหน ๆ
ลูกชายก็สละทางโลกไปแล้วอยากจะได้หลานเอาไว้สักคนหนึ่ง
ก็ไปอ้อนวอนพระลูกชายว่าขอให้หลับนอนกับภรรยาเพื่อว่าจะได้สืบสายสืบตระกูลไหน
ๆ
ท่านก็ไปบวชแล้วไม่มีลูกหลานเอาไว้สืบสกุล
พระสุทินเมื่อได้หลับนอนกับภรรยาแล้วก็มีความเศร้าหมองในใจตัวเองก็ผ่ายผอมเป็นที่สังเกตของบรรดาเพื่อน
ๆ เมื่อเพื่อน ๆ
พระถามขึ้นพระสุทินก็บอกไปตามความจริงถ้าตอนนั้นยังไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องผิดไม่มีกฎเกณฑ์ห้ามแม้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบจึงได้วางกฎเกณฑ์นี้ว่า
คนที่บวชแล้วจะไม่สามารถที่จะมีความยุ่งเกี่ยวทางเพศได้
ในปาราชิกข้อนี้
จะเห็นถึงความละเอียดอ่อน
ในพระไตรปิฎกของไทยโดยเฉพาะข้อนี้เข้าไปเป็นร้อยหน้า
ก็จะเห็นว่ากฎเกณฑ์นั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อที่จะล้อมกรอบหรือบีบบังคับ
แต่เกิดขึ้นตามกาละเทศะ
ตามเหตุที่มีมา
ก็ตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาเพื่อว่าไม่ให้ละเมิดในข้อนั้นอีก
ทีท่าขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงวางกฎเอาไว้
แต่ไม่ได้หมายความว่าให้กฎนั้นเป็นเรื่องตายตัวไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้
อาตมาขอยกตัวอย่างเรื่องหนึ่ง
ก็คือเรื่องที่เราสังคมสมัยปัจจุบันจะเห็นว่าเรื่องจีวรเป็นเรื่องที่ศักดิ์สิทธิ์
เป็นเรื่องที่ผู้หญิงมายุ่งเกี่ยวไม่ได้
เพราะว่าผู้หญิงนั้นแปดเปื้อนหลายครั้งจะมีคนถามว่าเป็นผู้หญิงครองจีวรได้หรือ
อันนี้ก็แสดงว่าไม่ได้มีความเข้าใจในความเป็นมาในพระพุทธศาสนาว่า
ในเรื่องการบวชของผู้หญิงนั้นเขาบวชมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล
ทั้งนี้ถ้าหากว่ากฎเกณฑ์นั้นเป็นไปเพื่อที่จะให้เคร่งครัดอย่างเดียวเป็นการล้อมกรอบคณะสงฆ์ไม่ให้กระดิกกระเดี้ยวจริง
ๆเราก็จะไม่มีเรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้
พระภิกษุณีรูปหนึ่งเกิดท้องขึ้น
เมื่อพระภิกษุณีเกิดท้องขึ้นพระอาจารย์ของท่านก็คือพระเทวทัตก็ให้ขับออกจากคณะสงฆ์ถือว่าผิดปาราชิก
ล่วงเกินทางเพศให้ขับออกจากคณะสงฆ์เสีย
พระภิกษุณีรูปนี้ท่านยืนยันในความบริสุทธิ์ของท่านว่า
นับตั้งแต่วันที่บวชเข้ามายังไม่เคยละเมิดปาราชิกเลย
เพราะฉะนั้นท่านไม่ควรที่จะถูกบังคับให้สึก
ท่านจึงไปกราบทูลองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าขอความเป็นธรรมให้
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โปรดพิจารณาให้ความเป็นธรรมกับนางด้วย
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นทรงเป็นสัพพัญญูก็คือ
ผู้รู้รอบ
ย่อมทรงรู้ด้วยพระญาณว่าภิกษุณีรูปนี้เป็นผู้บริสุทธิ์โดยแท้
แต่ว่าในการปกครองคณะสงฆ์นั้นการที่
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้เพียงพระองค์เดียวก็ไม่เพียงพอ
จำเป็นจะต้องให้คณะสงฆ์ตระหนักรู้เพื่อให้เกิดการยอมรับในคณะสงฆ์ด้วยจึงให้ตั้งคณะกรรมการขึ้น
คณะกรรมการนี้ประกอบด้วยภิกษุณีสงฆ์และภิกษุสงฆ์และพร้อมทั้งให้ไปเชิญนางวิสาขา
ซึ่งเป็นมหาอุบาสิกาเป็นคนที่มีครอบครัวมีลูกหลานเป็นจำนวนมาก
นางวิสาขาได้ทำหน้าที่ของนางโดยการที่ซักไซร้ไล่เรียงพระภิกษุณีรูปนี้จึงได้ความกระจ่างว่า
พระภิกษุณีรูปนี้นั้น
ท่านท้องติดมาโดยที่ท่านไม่ได้รู้ตัว
เมื่อเป็นเช่นนี้
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงอนุญาตทรงมีพระเมตตากรุณา
อนุญาติให้ภิกษุณีรูปนี้ท้องและคลอดลูกอยู่ในจีวรนั่นแหละไม่ได้ลาสิกขาลาเพศไม่จำเป็นจะต้องสึกออกไปเพราะว่านางไม่ได้ผิดเงื่อนไขปาราชิกจริง
ๆ
พระภิกษุณีรูปนี้ไม่ใช่แต่จะท้องในจีวรเท่านั้น
คลอดลูกในจีวร
แล้วก็ให้นมลูก
เลี้ยงลูกมาจน 1 ขวบ
เพราะว่าถ้าหากว่าจะให้ลูกพรากจากมารดาก็จะเป็นการที่ไม่ได้ให้ความเมตตากรุณา
เพราะในสมัยก่อนยังไม่มีนมเทียมลูกจำเป็นที่จะต้องอาศัยนมแม่
ก็โปรดให้เลี้ยงดูจนกระทั่งลูกหย่านมแล้ว
จึงยกลูกให้เป็นบุตรบุญธรรมพระราชาอื่นพระองค์หนึ่ง
เรื่องราวของภิกษุณีรูปนี้อาตมาเห็นเป็นความงามในพุทธศาสนาที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้วางกฎระเบียบวินัยเพื่อให้กดขี่ผู้ที่ปฏิบัติแต่เพื่อให้การปฏิบัตินั้นเป็นไปได้เพื่อให้เอื้อต่อการปฏิบัติอย่างแท้จริง
เมื่อพูดอย่างนี้เราก็จะทำความเข้าใจว่า
แล้วถ้าเราจะทำความเข้าใจในเรื่องจริง
ๆ
ในเรื่องที่เราจะก้าวข้ามมายาคตินั้นทำอย่างไร
กลไก หรือว่า
เครื่องมือในการที่เราจะก้าวล่วงมายาคติได้นั้นก็คือปัญญาองค์ความรู้
และความสามารถในการที่เราจะเข้าใจในเจตนารมณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อมาใช้เป็นเครื่องมือในการรื้อทิ้ง
อาตมาใช้คำว่ารื้อทิ้ง
ทฤษฎีของสตรีนิยมเขาเรียกว่า
Deconstruct
มารื้อทิ้งมายาคติซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่ได้มีพื้นฐานของความจริงและเราสามารถจะพิสูจน์ได้โดยการที่เข้าไปศึกษาในองค์ความรู้เดิม
มายาคติที่ปรากฏในสังคมไทยนั้นมีอยู่หลายประการถ้าจะลำดับก็คงจะไม่จบสิ้น
จะขอพูดเฉพาะมายาคติที่เป็นปัญหาอุปสรรคที่เราเผชิญอยู่ขณะนี้ก็คือ
มายาคติที่ถือว่า
บวชภิกษุณีนั้นเป็นไปไม่ได้เพราะต้องบวชโดยสงฆ์
2 ฝ่าย
อาตมาอยากจะเล่าให้ฟังถึงขั้นตอนการบวช
ๆ ของผู้หญิงนั้น
ผู้หญิงคนแรกที่ได้รับการบวชจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือ
พระแม่น้านางมหาปชาบดี
พระแม่น้านางมหาปชาบดีเป็นคนเดียวที่ได้รับการบวชโดยการน้อมรับครุธรรม
8
ผ่านพระอานนท์
ส่วนนางสากิยานีนั้นที่ตามเสด็จมา
500
นาง
ได้รับการบวชจากพระภิกษุสงฆ์
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ว่า
ภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้ภิกษุบวชภิกษุณี
บวชผู้หญิงเป็นภิกษุณี
การที่พระภิกษุสงฆ์บวชให้ผู้หญิงเป็นภิกษุณีนั้นก็ถือปฏิบัติสืบเนื่องกันมาเป็นเวลาพอสมควร
จนกระทั่งมีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่พระภิกษุสงฆ์ไม่สามารถที่จะบวชต่อไปได้
เพราะว่าในการซักถามอันตรายิกธรรมนั้น
อันตรายิกธรรมก็คือ
ธรรมอันจะเป็นอันตรายต่อชีวิตสมณะเพศถ้ามาบวชแล้วจะมีอุปสรรค
สำหรับผู้ชายมี
13
สำหรับผู้หญิงมี
24
ของผู้หญิงก็คือ
13
ข้อของผู้ชายนั้นและก็มีข้อเพิ่มขึ้นมาอีก
11 ข้อ
ใน
11 ข้อที่เพิ่มขึ้นมานี้เป็นการถามในเรื่องส่วนตัว
เช่นถามว่า
มีประจำเดือนกระปิดกระปอยหรือเปล่า
มีประจำเดือนตลอดเวลาหรือเปล่า
มีอวัยวะเพศทั้งสองอย่างหรือเปล่า
หรือไม่มีอวัยวะเพศเลยหรือเปล่า
หรือมีแผลที่ต้องใช้ผ้าปิดแผลตลอดเวลาหรือเปล่า
คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่สร้างความอึดอัดใจ
อาย
ผู้หญิงอายก็ไม่ตอบ
พอไม่ตอบคณะสงฆ์ไม่สามารถที่จะดำเนินการบรรพชาอุปสมบทต่อไปได้
จึงมากราบทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าในกรณีนี้จะให้ทำอย่างไร
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงอนุญาตว่า
ในการซักถามอันตรายิกธรรมนั้นให้ฝ่ายภิกษุณีสงฆ์เป็นฝ่ายซักถามเองซะก่อน
เมื่อซักถามเรียบร้อยแล้วหญิงผู้นี้บริสุทธิ์
จากอันตรายิกธรรมแล้วจึงส่งเข้ามาบวชในคณะภิกษุสงฆ์
แต่ว่าคำสั่งเดิมที่อนุญาติเอาไว้ว่าให้ภิกษุสงฆ์บวชภิกษุณีได้นั้นก็ไม่ได้ยกเลิก
เพราะฉะนั้นในกรณีที่เทศไทยมีแต่ภิกษุสงฆ์อย่างเดียว
ถ้าจำเป็นที่จะต้องบวชผู้หญิงจริง
ๆ
ก็สามารถที่จะบวชได้โดยถูกต้องตามพระธรรมวินัย
อันนี้เป็นวิธีการตอบประการหนึ่ง
วิธีการตอบประการที่ 2
ก็คือถ้าหากว่าที่จะยืนยันที่จะมีการบวชโดยสงฆ์
2 ฝ่าย
ก็สามารถที่จะไปรับการบวชจากภิกษุณีสงฆ์ในต่างประเทศได้
ในต่างประเทศที่มีอยู่ในขณะนี้ก็มีสายศรีลังกา
ซึ่งสืบมาจากสายไต้หวัน
สำหรับพวกที่ไม่เห็นด้วยมายาคติที่ไม่เห็นด้วยก็บอกว่า
มหายานนั้นไปรับมาจากมหายานเพราะฉะนั้นเป็นคนละนิกายกัน
ก็เป็นมายาคติอีกแบบหนึ่งที่จะต้องใช้วิชาความรู้เข้ารื้อทิ้ง
เวลาที่พูดถึงพระธรรมวินัยกำลังพูดถึง
2 ส่วน
คือพระธรรมและพระวินัย
ในเรื่องการบวชเป็นเรื่องการบวชในสืบสายพระวินัย
ในสายพระวินัยนั้นสายการบวชของภิกษุณีเท่าที่มีอยู่ล้วนแล้วเป็นสายที่แตกมาจากเถรวาททั้งสิ้น
ไม่มีสายพระวินัยที่มาจากมหายาน
นี่เป็นประการที่
1
ประการที่
2 ก็คือ
ความแตกต่างระหว่างมหายานกับเถรวาทนั้น
เป็นความแตกต่างที่พระธรรมไม่ใช่พระวินัย
ความแตกต่างในพระธรรมหมายความว่าอย่างไร
มหายานมีวิธีการอธิบายธรรมะแตกต่างไปจากฝ่ายเถรวาท
เช่น
อธิบายในเรื่องพระพุทธเจ้า
อธิบายในการบรรลุของพระอรหันต์ต่างไปจากของเถรวาทอย่างนี้เป็นต้น
ส่วนเรื่องการสืบสายการบวชเป็นเรื่องของพระวินัยเท่านั้น
ไม่ใช่เรื่องของพระธรรม
เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าจะอ้างว่าการไปการบวชจากไต้หวันเป็นมหายาน
ไม่สามารถจะรับได้เพราะว่าเราเป็นเถรวาทนี้ก็คือพูดจากมายาคติที่ไม่เข้าใจว่าเรื่องสายการบวชนั้นเป็นเรื่องของพระวินัย
ไม่ใช่เรื่องธรรมและความแตกต่างระหว่างมหายานกับเถรวาทเป็นความแตกต่างในทางธรรมะ
ในการอธิบายขยายความธรรมะ
มายาคติอีกเรื่องหนึ่งที่อาตมาอยากจะยกตัวอย่างให้ดูว่าถ้าหากเรายึดถือตามตัวอักษรเกินไปเราก็จะไม่เข้าถึงเจตนารมณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและไม่ใช่ไม่เข้าถึงอย่างเดียวเราจะล่วงเกินเจตนารมณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยซ้ำ
การปฏิบัติที่ถืออยู่ในปัจจุบันที่ถือเคร่งครัดว่าไม่ให้มีการถูกเนื้อต้องตัวผู้หญิงของพระภิกษุนั้นไม่ได้เราจะถือเคร่งจริง
ๆ ตามนั้นหรือเปล่า
อาตมาอยากจะเล่าเรื่อง
เมื่อตอนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปเยี่ยมพระนางยโสธราที่ตำหนักฝ่ายในนั้น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงหยั่งรู้ว่าพระนางยโสธรามีความเศร้าโศกเสียพระทัยเป็นอันมาก
และเนื่องจากพระนางยโสธราเองก็ยังไม่ได้เข้าใจว่า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเวลานี้เป็นสมณะแล้ว
เวลานี้มีเงื่อนไขของคณะสงฆ์ที่ไม่ให้ถูกเนื้อต้องตัวกับฝ่ายหญิง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงหันไปเตือนพระโมคคัญลานะและพระสารีบุตรพระสาวกซ้ายขวาซึ่งตามเสด็จว่า
ไม่ว่าพระนางจะแสดงอาการเคารพด้วยวิธีใดขอร้องว่า
ไม่ให้เข้าไปห้ามปรามพระนาง
ถ้าอย่างนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ละเมิดกฎเกณฑ์ของคณะสงฆ์หรือ
ตรงนี้จะแสดงให้เห็นชัดเจนว่า
กฎเกณฑ์นั้นไม่ได้มีเอาไว้กดขี่
แต่กฎเกณฑ์นั้นเป็นกฎเกณฑ์ที่เป็นไปได้ที่ทำให้ความเป็นอยู่ของคณะสงฆ์เป็นไปได้
เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไปในพระตำหนักฝ่ายในของพระนางยโสธราซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็คือตำหนักเดิมของพระองค์นั้นเอง
พระนางยโสธราทรงสยายพระเกศา
เอาพระเกศาเช็ดพระบาทของพระพุทธเจ้า
ๆ
ก็ประคองนางให้ลุกขึ้นมานั่งในที่อันควร
ถ้าเราเห็นภาพนี้ชัดเจน
เราจะเห็นภาพนี้ว่าเป็นการแสดงออกซึ่งความเมตตากรุณาอันล้นพ้นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้ามัวจะถือเคร่งตามกฎพระวินัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คงจะบอกว่า
พระนางยโสธราถูกเนื้อต้องตัวพระองค์ไม่ได้เวลานี้พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า
เวลานี้พระองค์เป็นสมณะเป็นพระภิกษุแล้วแต่พระพุทธองค์ไม่ได้กล่าวเช่นนั้นในทางตรงกันข้ามกลับเตือนโมคคัญลาพระสารีบุตรด้วยซ้ำว่าไม่ให้เข้ามาห้ามปรามให้พระนางแสดงความจงรักภักดีตามที่พระนางต้องการจะแสดงเราก็จะเห็นว่ามายาคติที่พอกพูนเข้ามาในความเชื่อของเรานั้นจำเป็นที่จะต้องไถ่ถอน
จำเป็นที่ต้องทำความเข้าใจว่ามายาคติเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นมายาคติที่เกิดขึ้นเพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจของเราเองเสียเป็นส่วนใหญ่
เพราะฉะนั้น
ถ้าหากว่าเราเป็นผู้ได้ศึกษาพระศาสนาอย่างแท้จริง
ไม่ใช่อ่านเฉพาะพระสูตรใดพระสูตรหนึ่งแต่จะต้องเข้าใจในองค์รวมของคำสอนทั้งในส่วนของพระธรรมทั้งในส่วนของพระวินัยว่าเจตนารมณ์ที่แท้จริงของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอย่างไรในการที่วางรากฐานให้กับเราในเรื่องพระวินัยเราก็จะสามารถที่จะรักษาพระวินัยโดยการที่รักษาเอาไว้ใน
Spirit
ในเจตนารมณ์ที่แท้จริงไม่ใช่รักษาเฉพาะเปลือกภายนอก
ไม่ใช่รักษาเฉพาะตัวอักษรแต่รักษาโดยนัยยะโดยความเข้าใจที่แท้จริง
เมื่อสองวันก่อนที่มีคณะของชาวอเมริกันมาถามว่า
ในเมื่อพระวินัยหลายข้อไม่สอดคล้องกับสังคมปัจจุบันเรายกเลิกไปเลยดีไหม
อาตมาก็บอกว่า
ถ้าหากว่ายกเลิกไปเลยในท้ายที่สุด
เมื่อห้าร้อยปีผ่านไปเราจะไม่เหลืออะไรที่เป็นของเก่าเลย
เพราะฉะนั้นท่าทีของเถรวาทก็คือให้รักษาของเก่าเอาไว้นั้นก็เป็นสิ่งที่ดีแต่ต้องรักษาของเก่าเอาไว้ในลักษณะที่ว่าเราสามารถที่จะเข้าใจถึงเจตนารมณ์ของพระวินัยแต่ละข้อ
เข้าใจถึงเจตนารมณ์ซึ่งเป็นองค์รวมของพุทธศาสนาที่ตั้งใจที่จะให้เราเข้าใจในทุกข์
ตั้งใจให้เราที่จะสามารถก้าวล่วงทุกข์ได้
นั่นคือแก่น
นั่นคือสาระเมื่อเราซึ่งเป็นพระต้องพยายามรักษาพระธรรมวินัย
และต้องเข้าใจถึงแก่นถึงสาระ
อะไรก็ตามที่เป็นเปลือกเป็นกระพี้บางครั้งถ้าไม่จำเป็นก็สามารถที่จะเพิกถอนได้ตามคำอนุญาตขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองเพียงแต่ว่าคณะสงฆ์ปัจจุบันไม่ได้สิทธิ์ของตัวเองแต่ว่าพยายามยืนยันทีท่าเดิม
ๆ
ซึ่งน่าจะเป็นมายาคติอีกรูปแบบหนึ่งที่เราจำเป็นที่จะต้องช่วยกันรื้อทิ้งเพื่อที่จะจรรโลงภาพแห่งความงดงามของพุทธศาสนาเอาไว้
เพื่อที่จะให้อนุชนรุ่นหลังจะได้เห็นว่าคำสอนในพระพุทธศาสนานั้นเป็นสิ่งที่สอดคล้องเป็นสิ่งที่ทันสมัยเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ในชีวิตปัจจุบัน
มายาคติทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องศึกษาเป็นสิ่งที่เราต้องสนใจและพยายามที่จะรื้อทิ้งเพื่อให้ได้เห็นภาพอันงดงามแท้จริงของพุทธศาสนาเอง
ขอเจริญพร |
สถานที่ติดต่อ
วัตรทรงธรรมกัลยาณี
เลขที่ 195 ถนนเพชรเกษม ต.
พระประโทน
อ. เมืองฯ จ. นครปฐม 73000
โทร. (034) 258-270 โทรสาร (034) 284-315
ติชม [email protected]