การบวชสามเณรี-ภิกษุณี
เป็นการเคลื่อนไหวที่สร้างคุณประโยชน์ให้กับศาสนาและสังคมไทยหญิงไทยจะได้ศึกษาพระธรรม
จะได้ไม่ถูกกล่าวหาว่า
เป็นส่วนหนึ่งของขบวนบ่อนทำลายพุทธศาสนาหลายมุมมองเกี่ยวกับการเกิด
สามเณรี
และ ภิกษุณี
ในเมืองไทยที่ได้มีผู้ให้ทัศนะดังนี้
ดร.วิลาสินี
พิพิธกุล
อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในฐานะประธานเครือข่ายสื่อสตรี
กล่าวกับ
คม
ชัด ลึก
ว่า
การทำงานเคลื่อนไหวเกี่ยวกับสตรี
ได้กำหนดจุดยืนเพื่อให้สตรีมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกับผู้ชายในทุกด้าน
เรื่องการปฏิบัติธรรมจึงไม่ควรจำกัดว่าเป็นเรื่องของผู้ชาย
กรณีที่ผู้หญิงมาบวชเป็นสามเณรีหรือภิกษุณีก็สามารถแสวงหาธรรมได้
ซึ่งที่ผ่านมาศาสนาถ้ามีการศึกษาพระธรรมวินัยหรือพระไตรปิฎกไม่เคยกีดกันผู้หญิง
กลับมีการสนับสนุนให้ผู้หญิงบวชและปฏิบัติธรรมได้
ส่วนในเชิงปฏิบัติมีการนำกฎหมายมาบังคับใช้
เป็นการตีกรอบไม่ให้ผู้หญิงได้เข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนา
ในเรื่องของการมีภิกษุณี
ดิฉันเองมองว่า
เป็นความเคลื่อนไหวที่ดีเราจะเห็นว่าที่ผ่านมาปัญหาศาสนาในสังคมไทย
ผู้หญิงนั้นไม่มีโอกาสที่จะได้เผยแพร่ธรรมะด้วยตนเอง
และเราจะเห็นได้ว่าผู้หญิงส่วนใหญ่นั้นก็จะมีทุกข์มาก
พอมีทุกข์อะไรก็จะหันหน้าเข้าหาวัด
มีพระสงฆ์ผู้ชายเป็นที่พึ่งแต่ได้นำไปสู่ปัญหาต่าง
ๆ
ที่เกิดขึ้นในสังคมมากมาย
เพราะฉะนั้นผู้หญิงมีความทุกข์
มีผู้หญิงด้วยกันเป็นที่พึ่ง
สามารถที่จะพบทางหลุดพ้นได้เพราะพระผู้หญิงจะเข้าใจทุกข์ของผู้หญิงได้ง่ายขึ้น
การมีพระเป็นผู้หญิง
ทำให้มีโอกาสปฏิบัติธรรม
สามารถข้ามพ้นเส้นแบ่งในเรื่องของพิธีกรรม
ที่ส่วนใหญ่กีดกันไม่ให้ผู้หญิงเข้าไปเกี่ยวข้อง
ที่ผ่านมา
การเรียนพระพุทธศาสนาหรือพุทธประวัติ
ทุกคนได้เรียนจากตำราในมุมมองของผู้ชายมาตลอด
ไม่มีใครถามเลยว่าผู้หญิงหายไปไหนจากศาสนาพุทธ
จึงน่าจะถึงเวลาแล้วที่คนรุ่นใหม่น่าจะได้ศึกษาพระพุทธศาสนาในมุมมองของผู้หญิงบ้าง
การมีภิกษุณีในเมืองไทย
คงไม่ต่างไปจากการมีนักการเมืองผู้หญิงที่สังคมปัจจุบันก็ยอมรับกันแล้ว
ผศ.มาลี
พฤกษ์พงศาวลี
ประธานโครงการสตรีและเยาวชนศึกษา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
กล่าวว่า
ทางโครงการสนับสนุนให้เมืองไทยมีการบวช
สามเณรี-ภิกษุณี
เพราะจะเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนได้ประพฤติปฏิบัติธรรม
และรูปแบบการบวชเป็นการแสดงถึงความศรัทธาสูงสุดที่จะมาสู่เพศบรรพชิต
เพื่อที่จะสามารถปฏิบัติธรรมได้อย่างเข้มข้น
และสามารถที่จะบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมมากขึ้น
เรื่อง
พ.ร.บ.สงฆ์
พ.ศ. 2491 ระบุ
ไว้ว่าห้ามภิกษุสงฆ์บรรพชาภิกษุณีนั้น
คงเป็นเรื่องของรัฐ
ที่จะเข้าไปควบคุมดูแลเกี่ยวกับเรื่องการบวช
ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่ารัฐจักรนั้นเข้ามาทีหลังศาสนจักร
แต่ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมอะไรต่าง
ๆ เป็นวิถีชีวิตของมนุษย์
ที่เป็นความต้องการพื้นฐานที่สุดที่มนุษย์
เมื่อสมัยพุทธกาลผู้หญิงก็ไม่มีโอกาสบวช
แต่ว่าพระพุทธเจ้า
ได้เห็นว่า
ผู้หญิงเองก็มีศรัทธา
พระพุทธเจ้าก็ได้เอื้อให้มีการบวชภิกษุณีได้เหมือนกัน
นางระเบียบรัตน์
พงษ์พานิช
นักศึกษาปริญญาโท
หลักสูตรสตรีศึกษา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สมาชิกวุฒิสภา จ.ขอนแก่น
ให้ความเห็นว่า ดีใจ
ที่ได้เห็นการบรรพชาสามเณรีครั้งแรกในเมืองไทย
สิ่งที่หลายฝ่ายยังมีการต่อต้านในเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
เพราะฝ่ายสงฆ์เองก็มีทั้งเห็นด้วยไม่เห็นด้วยที่ควรจะมีภิกษุณี
แต่สำหรับตนเห็นด้วยที่จะให้มีภิกษุณีเกิดขึ้นในเมืองไทย
อย่างน้อยก็เป็นที่พึ่งของผู้หญิง
และช่วยส่งเสริมเผยแพร่พระพุทธศาสนาของไทยด้วยอีกทางหนึ่ง
แม้ในวันนี้คนไทยและพระสงฆ์บางส่วนยังไม่ยอมรับ
แต่เชื่อว่าอนาคตจะต้องยอมรับแน่นอน
ส่วนการผลักดันทางกฎหมายคงต้องค่อยเป็นค่อยไป
จะให้แก้ในทันทีนั้นคงไม่ได้
ทุกฝ่ายต้องหันหน้าเข้าหากัน
อย่าถือเอาความคิดของตนเอง
เป็นหลัก
น.ส.สุเพ็ญศรี
พึ่งโคกสูง
หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สตรี
มูลนิธิเพื่อนหญิง
กล่าวเสริมว่า
สังคมไทยวันนี้เชื่อว่าเริ่มยอมรับให้มีสามเณรีกันแล้ว
และคาดหวังว่าอนาคตจะมีภิกษุณีเกิดขึ้นตามมา
ซึ่งจากการได้พูดคุยกับภิกษุณีจากจีนนั้นมองว่าถ้าหากให้ผู้หญิงเข้ามาอยู่ในพระพุทธศาสนา
จะทำให้ศาสนาครบพุทธบริษัท
4 คือ
ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก
อุบาสิกา
คงจะไม่ได้อยู่เพียงในตำราอย่างเดียว
แต่จะมีอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง
มั่นใจว่า
พ.ร.บ. สงฆ์
พ.ศ. 2491
จะต้องมีการแก้ไขแน่นอน
ซึ่งขบวนการแก้ไขจะต้องมีหลายฝ่ายร่วมกัน
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันระบุถึงความเสมอภาคทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธศาสนาว่า
ทั้งหญิงชายจะต้องมีความเป็นภราดรภาพ
ซึ่งศาสนาจะจรรโลงให้คนประพฤติดีเกื้อกูลให้สังคมสันติสุขผาสุข
หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สตรี
มูลนิธิเพื่อนหญิงกล่าวทิ้งท้าย
|