มายาคติในพุทธศาสนา 1
 

วันนี้เราพูดกันถึงเรื่อง Deconstruct ที่นี่ออกไปพูดให้ลูก ๆ ข้างนอกฟัง ลูก ๆ ที่อยู่ในวัดไม่ได้ฟังก็ดูจะน้อยเนื้อต่ำใจกันอยู่ Deconstruct ศัพท์ ในปรัชญายุคใหม่ของจะใช้คำนี่กัน คำว่า Deconstruct เปลี่ยนว่า รื้อสร้าง รื้อ construct เปลี่ยนว่า สร้าง Deconstruct เปลี่ยนว่ารื้อลงมา แต่ที่นี่รื้อลงมาแล้วจะสร้างใหม่ หรือว่ารื้อทิ้ง อาตมาให้ความหมายในศัพท์ของพุทธศาสนาสตรีศึกษาสายพุทธว่า Deconstruct นั้น หมายถึงรื้อทิ้ง รื้ออะไรทิ้ง รื้อมายาคติ ๆ ก็คือความเชื่อที่มันไม่ฐานของความเป็นจริงวันนี้เราจะพูดถึงมายาคติหลายอย่าง หลังจากที่หลวงแม่พูดแล้วจะถามลูก ๆ ว่าเคยได้ยินได้ฟังมายาคติมาอย่างไรบ้าง

มายาคติประการที่ 1 ก็คือความเชื่อที่ว่าผู้หญิงเป็นหินชาติ ๆ คือชาติที่ต่ำกว่า เพราะอะไรผู้หญิงจึงเป็นหินชาติ เพราะว่าผู้หญิงไม่สามารถจะบวชได้ ซึ่งวิธีที่เราจะรื้อทิ้งก็คือวิธีการเราจะต้องเผยแสดงให้เห็นถึงท่าที่ทีแท้จริง คำสอน ที่แท้จริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าในความเป็นจริงแล้วผู้หญิงผู้ชายบวชได้เหมือนกันสามารถที่จะบรรลุธรรมได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นความเชื่อของคนไทยที่เชื่อว่าผู้หญิงบวชไม่ได้ก็เป็นมายาคติ ที่ความเชื่อที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในฐานของความเป็นจริงไม่มีประวัติศาสตร์ ไม่มีวิชาการรับรอง และจากความเชื่อหรือมายาคตินี่เองที่ว่าผู้หญิงบวชไม่ได้ทำให้ผู้หญิงที่เป็นแม่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการบวชลูกชาย จนกระทั่งมีการวิจัยออกมาว่าในทางเหนือนั้นพ่อ-แม่มักจะขอร้องให้ลูกสาวคนโต ในงานวิจัยมักจะเป็นลูกสาวคนโต ที่พ่อ- แม่จะบอกให้เสียสละเพื่อน้องเถอะนะ สละเพื่อพ่อ-แม่เถอะนะ ให้ทำอะไร ให้ไปทำงานในกรุงเทพ ฯ ลฯ คำว่าไปทำงานในกรุงเทพนั้นก็หมายรวมไปในอาชีพต่างๆ ที่ลูกสาวจะต้องเสียสละ ถ้าหากว่าลูกสาวแข็งขืนไม่ยอมทำตาม ก็จะถูกชาวบ้านสังคมประนามว่าเป็นลูกที่ไม่กตัญญูต่อพ่อ- แม่ การที่ขอร้องให้ลูกสาวคนโตไปทำงานที่กรุงเทพ ฯลฯ เพื่อที่ว่า พ่อ-แม่จะได้มีเงินมาบวชน้องชาย อันนี้ก็คือมายาคติที่นำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นการตักตวงฉกฉวยผลประโยชน์จากผู้หญิงที่เป็นรูปอธรรมเห็นได้ชัดปรากฎเป็นกรณีให้เราได้ศึกษากันอยู่บ่อย ๆ เพราะฉะนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ชาวพุทธไม่ว่าจะเป็นคนบวชหรือฆราวาสจำเป็นจึงจะต้องศึกษาเข้าทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ว่าในพุทธศาสนาเองผู้หญิงบวชได้ และองศ์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธะเจ้าเองทรงอนุญาติให้ผู้หญิงบวช

            มายาคตประการิที่ 2  ที่พบโดยเฉพาะที่หลวงย่าบวชเขาบอกว่าผู้หญิงบวชแล้วจะทำให้จีวรเปื้อนเลือด ๆ นี้หมายถึงประจำเดือน วิธีการจะรื้อทิ้ง หรือ Deconstruct รื้อทิ้งมายาคตินี้เราต้องกลับไปศึกษาเรื่องราวครั้งตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราก็จะพบว่า จีวรนี้ไม่ใช่ของศักดิ์สิทธิ์ จีวรนี้ไม่ใช่เปื้อนแต่เลือดแต่ในความเป็นมาของจีวรนั้น จีวรเปื้อนทั้งเลือดเปื้อนทั้งหนองของซากศพ พระทั้งผู้หญิงผู้ชายเป็นผู้ที่ไม่มีสมบัติเป็นของตัวเองจึงอาศัยผ้าห่อศพที่เขาทิ้งไว้อยู่ชายป่าเอามาซักแล้วก็ตัดแปะเป็นผืนสีเหลี่ยมเย็บต่อกันแล้วจึงย้อมด้วยวิธีธรรมชาติคือย้อมด้วยเปลือกไม้ที่อยู่ในป่านั้นเอง ผ้าจีวรเป็นผ้าที่ไม่มีราคาชาวบ้านไม่พึงประสงค์เพราะเป็นผืนสีเหลี่ยมชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่เอามาตัดต่อกันไม่มีราคา ไม่เหมือนผ้าสวยๆเป็นผ้าผืนใหญ่ที่ชาวบ้านเอาไปใช้ประโยชน์ได้ ผ้าที่พระสงฆ์ใช้จึงเป็นผ้าที่ไม่มีราคามากที่สุด แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นการให้สัญลักษณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ ผู้หญิงถูกต้องไม่ได้ มายาคตินี้เราต้องรื้อทิ้งทำลายเพราะว่าไม่ใช้ความหมายที่แท้จริงในพุทธศาสนาเลย ถ้าหากว่าเปื้อนเลือดเปื้อนประจำเดือนก็เป็นธรรมชาติ เปื้อนแล้วก็เหมือนกับเปื้อนฝุ่นเปื้อนละอองซักออกก็ได้ ไม่มีการถืออคติ สำหรับประจำเดือนของผู้หญิง ที่ท่าของศาสนาพุทธเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่เห็นจะต้องกีดกัน ไม่ใช้เรื่องที่จะเป็นมลทินทางศาสนาเหมือนกับที่ถือกันในมายาคติอื่น ๆ

มายาคติประการที่ 3  คือความเชื่อที่เชื่อว่าสถานที ที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ เช่นพระสถูป ห้ามไม่ให้ผู้หญิงขึ้นไปเวียนเทียนรอบพระสถูป พระเจดีย์ โดยเฉพาะทางเหนือจะมีมายาคติอันนี้ เพราะว่าทางเหนือนั้นเวลาที่สร้างสถูป สร้างเจดีย์ จะนิยมประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุอยู่ที่ฐานเจดีย์ แต่ส่วนภาคกลางนั้นพระบรมสารีริกธาตุนั้นจะอยู่ข้างบน เพราะฉะนั้นผู้หญิงไปเดินรอบพระเจดีย์นั้นก็ยังไม่สูงกว่าพระบรมสารีริกธาตุ แต่เมื่อเมืองเหนือเอาพระบรมสารีริกธาตุไว้ที่ฐาน ก็แน่นอนว่าเมื่อผู้หญิงขึ้นไปเดินก็จะต้องสูงกว่า แต่ถ้าจะบอกว่าเราควรจะเคารพต่อพระบรมสารีริกธาตุที่ฐานที่ฐานข้างในฐานพระเจดีย์ ทั้งผู้หญิงและผู้ชายก็ควรจะให้ความเคารพเหมือนกัน ไม่ควรจำกัดเฉพาะแต่ผู้หญิงอันนี้ก็จะเห็นว่าเป็นมายาคติ ที่เราต้องทำความเข้าใจในฐานะที่เป็นชาวพุทธผู้ที่รู้ว่าตอนนี้การศึกษาตอนนี้เป็นการศึกษาสมัยใหม่ ศาสนาพุทธไม่ใช้ศาสนาพราหมณ์ที่จะไม่ยอมให้สอนคนอื่นอยู่แต่ในกำมือเฉพาะของพราหมณ์ ศาสนาพุทธไม่ได้มีที่ท่าอย่างนั้นเพราะฉะนั้นนี้ก็เป็นมายาคติอีกอย่างหนึ่งที่เราจะช่วยกันรื้อทิ้ง

อีกมายาคติหนึ่ง ที่เราจะต้องช่วยกันรื้อทิ้ง คืออ้างว่าพระภิกษุณีนั้นบวชไม่ได้เพราะว่าการบวชภิกษุณีนั้นต้องมีสงฆ์ 2 ฝ่ายเมื่อไม่มีพระภิกษุณีสงฆ์ก็บวชไม่ได้ ผู้หญิงในประเทศไทยชาวไทยไม่สามารถจะบวชได้ เมื่อศึกษาในพระไตรปิฎก โดยเฉพาะพระวินัย เล่มที่ 7 จะพบว่าแรกเริ่มนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่ออนุญาติให้พระแม่น้านางบวชโดยการรับคุรุธรรม 8 แล้วก็ได้อนุญาติให้นางสากิยานีอีก 500 นางได้รับการบรรพชาอุปัชฌาย์จากคณะภิกษุสงฆ์ และนับแต่นั้นมาภิกษุสงฆ์ก็เป็นฝ่ายให้การบวชผู้หญิงนั้นมาโดยตลอด จนกระทั้งมีกรณีที่ผู้หญิงคนหนึ่งท่านมาขอบวชเมื่อพระภิกษุสงฆ์จะต้องถามอันตรายิกธรรม ก็คือ ธรรมที่เป็นการบวชของพระภิกษุและภิกษุณี ฝ่ายพระภิกษุถ้าจำไม่ผิดก็จะมี 13 ข้อ ฝ่ายพระภิกษุณีมี 24  ข้อ ตัวอย่างเช่นที่ถามว่า เป็นขี้เรือนกุดถังหรือเปล่า เป็นมนุษย์หรือเปล่า เป็นคนที่หนีหนี้มาหรือเปล่า เป็นคนรับใช้พระราชาหรือเปล่า เหล่านี้เป็นต้น อันนี้เป็นของฝ่ายชาย ส่วนอันตรายิกธรรมของผู้หญิงนั้นมีถามไปในเรื่องส่วนตัว เช่น มีประจำเดือนตลอดเวลาหรือเปล่า มีอวัยวะเพศ 2 อย่างหรือเปล่าในคนๆเดียวกันหรือเปล่า ก็ปรากฏว่าผู้หญิงคนนี้อายมากก็เพราะว่าพระภิกษุนั้น ถามต่อหน้าพระภิกษุจำนวนมาก จึงไม่ตอบนั่งบิดไปบิดมาอายไม่ตอบ พระภิกษุสงฆ์จึงนำความนี้ไปกราบทูลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธะเจ้า ๆ จึงอนุญาติว่าในขั้นตอนการสอบถามอันตรายิกธรรมนั้นของให้ฝ่ายพระภิกษุณีช่วยตรวจสอบให้เสร็ฐเสียก่อน ในฝ่ายภิกษุณีสงฆ์ แล้วจึงนำมาบรรพชาอุปัชฌาย์ในพระภิกษุสงฆ์ จะเห็นได้ว่าการบรรพชาอุปัชฌาย์เป็นเรื่องของพระภิกษุสงฆ์ ส่วนพระภิกษุณีนั้นเพียงเพื่อมาช่วยตรวจสอบอัตรายิกธรรม เพราะฉะนั้นการที่อ้างว่าการบวชภิกษุณีนั้นภิกษุไม่เกี่ยว อันนี้ก็เป็นมายาคติ เป็นเรื่องที่เราต้องชำระ เป็นเรื่องที่เราจะต้องรื้อทิ้ง เพื่อจะสร้างฐานความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นที่ประเทศไทยไม่มีพระภิกษุณีสงฆ์ยาวนานถึง 700 ปีก็ด้วยมายาคติที่ไม่ได้ทำความเข้าใจนี้เอง แท้ที่จริงแล้วประเทศไทยพระภิกษุสามารถจะบวชให้ได้ และเป็นเรื่องของพระภิกษุที่จะบวชให้กับผู้หญิงเป็นพระภิกษุณี แต่ไปติดขัดตรงคำสั่งของ พระสังฆราชในปี 2471  ที่มีคำสั่งห้ามไม่ให้พระภิกษุไทยบวชผู้หญิงเป็นพระภิกษุณี สิกขมานา หรือสามเณรี

มายาคติอีกข้อหนึ่ง ก็คือมายาคติที่ถือว่าพระพุทธเจ้าจะต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น เพราะฉะนั้นผู้หญิงหลายคนจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เกิดเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ขอให้บรรลุอรรถผลในชาติหน้า ไม่ยอมบรรลุในชาตินี้อยากจะชะลอไว้ในชาติหน้าโน้น เพื่อที่จะไปเกิดในสมัยพระศรีอริยเมตไตรย  อีกพุทธกัลป์หนึ่งนะ ไม่ใช่พุทธกัลป์นี้ พุทธกัลป์นี้เราอยู่กับ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณะโคดม ผู้หญิงเราก็จะมีความน้อยเนื้อต่ำใจดูถูกตัวเองว่ายังไงก็บรรลุไม่ได้ ก็จะรอไปบรรลุในพุทธกัลป์หน้า ที่นี้ต้องตรวจสอบที่มาของความเชื่อตรงนี้ ทำไม่ต้องเชื่อว่าพระพุทธเจ้าต้องเป็นผู้ชาย จากหลักฐานของนักวิชาการชาวญี่ปุ่นชื่อ ยูอีจิ โดยอธิบายว่าหลังจากที่พระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพานแล้วนั้น เริ่มมีวิธีการที่จะยกย่ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยอธิบายคุณลักษณะที่เรียกว่ามหาปุริลักษณะ 32 ประการว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงมีมหาปุริลักษณะทั้ง 32 ประการนี้ด้วย มหาปุริลักษณะนี้แล้วตามวรรณคดีของอินเดียจะถือว่าเป็นลักษณะเฉพาะของจักรพรรดิ์ ความพยายามที่จะยกย่ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เลยเอามหาปุริลักษณะนี้มาใช้กับพระพุทธเจ้าด้วย หนึ่งในมหาปุริลักษณะ ก็คือข้อที่บอกว่าอวัยวะเพศอยู่ในฝัก อวัยวะเพศชายเรียกว่าลึงค์ใช้คำว่าลึงค์อยู่ในฝัก ซึ่งในความหมายเดิมนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธะเจ้าทรงไปพ้นจากความต้องการทางเพศแล้ว เพราะฉะนั้นอวัยวะเพศ หรือลึงค์ของชายนั้นจึงสงบนิ่งอยู่ในฝัก แต่ปรากฏว่าในการตีความในการดึงเอาความหมายนี้มาทำความเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าต้องเป็นผู้ชาย ไปถือเอาเฉพาะว่าพระพุทธเจ้าจะต้องมีลึงค์ เป็นผู้ชายเท่านั้น อันนี้ก็เป็นมายาคติที่เราจะต้องทำความเข้าใจ เพื่อที่เราจะได้รื้อทิ้ง แล้วก็ลุทิ้งความเชื่อที่ไม่ได้มีฐานอยู่ในความถูกต้อง ไม่มีฐานของพุทธศาสนา มายาคติแบบนี้ยังมีอีกมากมายที่เราพบซึ่งเราจำเป็นที่จะต้องศึกษา พระพุทธศาสนาให้แตกฉาน เพื่อที่เราจะได้เข้าใจว่าสารัตถะแก่นจริง ๆของศาสนาพุทธสอนว่าอย่างไร ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Buddhist in a nutshell  พุทธศาสนาที่อยู่ใน File มือ หรือพระพุทธศาสนาที่อยู่ Nutshell แปลว่า เปลือกถั่ว ทำนองนั้นย่อหมวดลงมาให้เล็กที่สุดได้แก่อะไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนว่า ให้รู้จักทุกข์และหาทางให้พ้นจากทุกข์ องค์สัมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นทรงแสดงให้เห็นด้วยชีวิตของพระองค์เองว่าพระองค์เองได้เคยทุกข์เหมือนกับเราและได้ก้าวล่วงพ้นทุกข์แล้วก็ทรงมีพระเมตตา บอกเราด้วยว่าวิธีการที่จะทำให้ล่วงพ้นทุกข์นั้นทำอย่างไร ที่ปรากฏ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเปรียบเหมือนนายแพทย์ที่เชี่ยวชาญรู้ว่ามนุษย์นั้นมีโรคร้าย แต่ว่ามีเหตุอย่างนี้นะ แม้ว่าจะเป็นโรคร้านแต่โรคร้ายนี้นะรักษาให้หายได้ และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เคยเป็นโรคนี้แล้ว คือโรคแห่งความทุกข์ แล้วก็สามารถเอาชนะรักษาได้เหมือนกันว่ายาที่ให้กินใบสั่งยาที่ให้นะเราต้องกินเองนะ พระพุทธเจ้ากินพระพุทธเจ้าหาย เราอยากจะหายเราก็ต้องกินยาเอง กินยาก็คือการปฏิบัติตาม มรรคมีองค์ 8 นั้นเอง เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงพุทธศาสนาที่แท้จริงนั้น สารถะแก่นของพระพุทธศาสนาไม่ได้ติดอยู่กับอคติทางเพศอย่างไรเลย เพราะฉะนั้นสิ่งทั้งหลายแหล่ที่เราได้ฟัง เกี่ยวกับทางเพศที่มีกับสตรีนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นมายาคติ ที่ไม่ได้อยู่ในคำสอน แก่นของคำสอนของพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นเราจะทำความเข้าใจได้ว่าสิ่งใดก็ตามที่เป็นแก่นเราจะรักษาสิ่งนั้นไว้ สิ่งใดก็ตามที่เป็นเปลือก เป็นกระพี้ ขัดแย้งกับแก่นก็จำเป็นที่จะต้อง Deconstruct รื้อทิ้ง เพื่อที่จะเผยให้เห็นความจริงที่งดงามในพุทธศาสนา ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อนุญาติให้พระแม่น้านางบวชนั้นเพราะว่าเงื่อนไงที่ว่าทั้งผู้หญิงและผู้ชาย สามารถจะบรรลุธรรมได้เหมือนกัน นี่คือความงามของพุทธศาสนาที่ประการชัดเจนว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ไม่จำกัดในวรรณะ เชื้อชาติ สีผิว และเพศความงามนี่เองเป็นความงามที่เราจะต้องช่วยกันประกาศให้โลกรู้ อาตมาเล่าเรื่องหลวงพ่อพุทธเมตตาที่พุทธคยา เป็นหลวงพ่อที่อยู่ในพระสถูปในพุทธคยา แต่ในสมัยที่มุสลิมรุกรานนั้นก็ได้สั่งให้มีการรื้อทิ้ง รื้อพระพุทธรูปทิ้งภายใน 2 วันหลังจาก 2 วันก็จะกลับมาตรวจอีกปรากฏว่าโชคดีเหลือเกินที่ผู้รักษา พระมหาเจดีย์นั้นคิดอุบายได้ก่อกำแพงขึ้นมาชิดเข่าหลวงพ่อและก็ก่อกำแพงปิดหลวงพ่อเลย เมื่อมุสลิมมาตรวจงานอีก 2 วันต่อมามองเข้ามาในพระเจดีย์ไม่เห็นหลวงพ่อ เข้าใจว่าทุบทิ้งไปแล้วตามคำสั่ง ก็ผ่านไปตรวจแล้วก็ผ่านไปนั้นเองเป็นวิธีการที่หลวงพ่อพุทธเมตตา รอดพ้นจากทหารมุสลิมได้ แต่ว่าในโอกาสที่เราจะพบหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่งเราก็ต้องรื้อกำแพงทิ้ง เช่นเดียวกับDeconstruct การรื้อทิ้ง สตรีศึกษาชาวพุทธก็คือ การที่เราจะรื้อกำแพงที่เป็นกำแพงแห่งความไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ เป็นความเชื่อจากพื้นบ้านและประสมประสานกับศาสนาอื่น ที่เข้ามาบดบังความงดงามที่แท้จริงของพุทธศาสนา เราต้องช่วยกันคนละไม้ละมือที่จะรื้อกำแพงนี้ออก เพื่อที่ว่าเราจะได้จรรโลงความงามของพุทธศาสนาให้ปรากฏ ไม่ใช่เฉพาะชาวพุทธแต่สำหรับชาวโลก เราอวดเขาได้เรามีของดีที่จะอวดเพราะฉะนั้นวิธีการรื้อทิ้งตามการศึกษาในระบบสตรีศึกษานี้ก็จะเป็นเราจะใช้วิธีการนี้ในการรื้อทิ้งสิ่งที่เป็นมายาคติ สิ่งที่บดบังความงามของพระพุทธศาสนาเอาไว้ในลักษณะต่าง ๆ  แน่นอนที่สุดไม่ใช่ในเฉพาะประเด็นผู้หญิงแม้กระทั่งความเชื่อการปฏิบัติหลาย ๆ  อย่างที่ไม่ใช่จิตวิญญาณที่แท้จริงไม่ใช่สารัตถะ มิใช่พิธีกรรมที่มาจากความเข้าใจในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงก็เป็นสิ่งที่เราจะต้องรื้อทิ้งด้วยเหมือนกัน อันนี้ก็คือท่าทีและวิธีการของสตรีศึกษาแนวพุทธที่คุยกันเมื่อไปที่ธรรมศาสตร์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา และคุยกับกลุ่มนักศึกษาอเมริกันที่มาเยือนวัตรเราเมื่อบ่ายวันนี้  ก็เอามาเล่าสู่กันฟังให้ลูก ๆ ได้เห็นภาพมีความเข้าใจพอสมควร 

                                              ขอเจริญพร

                                                     มกราคม  2546


 


Back



สถานที่ติดต่อ
  วัตรทรงธรรมกัลยาณี
เลขที่  195  ถนนเพชรเกษม  ต. พระประโทน
อ. เมืองฯ  จ. นครปฐม   73000
โทร. (034) 258-270  โทรสาร (034) 284-315
ติชม  [email protected]