วันนี้เราพูดกันถึงเรื่อง
Deconstruct
ที่นี่ออกไปพูดให้ลูก
ๆ ข้างนอกฟัง ลูก ๆ
ที่อยู่ในวัดไม่ได้ฟังก็ดูจะน้อยเนื้อต่ำใจกันอยู่
Deconstruct ศัพท์
ในปรัชญายุคใหม่ของจะใช้คำนี่กัน
คำว่า Deconstruct เปลี่ยนว่า
รื้อสร้าง รื้อ construct เปลี่ยนว่า
สร้าง Deconstruct เปลี่ยนว่ารื้อลงมา
แต่ที่นี่รื้อลงมาแล้วจะสร้างใหม่
หรือว่ารื้อทิ้ง
อาตมาให้ความหมายในศัพท์ของพุทธศาสนาสตรีศึกษาสายพุทธว่า
Deconstruct นั้น
หมายถึงรื้อทิ้ง
รื้ออะไรทิ้ง รื้อมายาคติ
ๆ
ก็คือความเชื่อที่มันไม่ฐานของความเป็นจริงวันนี้เราจะพูดถึงมายาคติหลายอย่าง
หลังจากที่หลวงแม่พูดแล้วจะถามลูก
ๆ
ว่าเคยได้ยินได้ฟังมายาคติมาอย่างไรบ้าง
มายาคติประการที่
1
ก็คือความเชื่อที่ว่าผู้หญิงเป็นหินชาติ
ๆ คือชาติที่ต่ำกว่า
เพราะอะไรผู้หญิงจึงเป็นหินชาติ
เพราะว่าผู้หญิงไม่สามารถจะบวชได้
ซึ่งวิธีที่เราจะรื้อทิ้งก็คือวิธีการเราจะต้องเผยแสดงให้เห็นถึงท่าที่ทีแท้จริง
คำสอน
ที่แท้จริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าในความเป็นจริงแล้วผู้หญิงผู้ชายบวชได้เหมือนกันสามารถที่จะบรรลุธรรมได้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นความเชื่อของคนไทยที่เชื่อว่าผู้หญิงบวชไม่ได้ก็เป็นมายาคติ
ที่ความเชื่อที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในฐานของความเป็นจริงไม่มีประวัติศาสตร์
ไม่มีวิชาการรับรอง
และจากความเชื่อหรือมายาคตินี่เองที่ว่าผู้หญิงบวชไม่ได้ทำให้ผู้หญิงที่เป็นแม่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการบวชลูกชาย
จนกระทั่งมีการวิจัยออกมาว่าในทางเหนือนั้นพ่อ-แม่มักจะขอร้องให้ลูกสาวคนโต
ในงานวิจัยมักจะเป็นลูกสาวคนโต
ที่พ่อ- แม่จะบอกให้เสียสละเพื่อน้องเถอะนะ
สละเพื่อพ่อ-แม่เถอะนะ
ให้ทำอะไร
ให้ไปทำงานในกรุงเทพ ฯ ลฯ
คำว่าไปทำงานในกรุงเทพนั้นก็หมายรวมไปในอาชีพต่างๆ
ที่ลูกสาวจะต้องเสียสละ
ถ้าหากว่าลูกสาวแข็งขืนไม่ยอมทำตาม
ก็จะถูกชาวบ้านสังคมประนามว่าเป็นลูกที่ไม่กตัญญูต่อพ่อ-
แม่
การที่ขอร้องให้ลูกสาวคนโตไปทำงานที่กรุงเทพ
ฯลฯ เพื่อที่ว่า พ่อ-แม่จะได้มีเงินมาบวชน้องชาย
อันนี้ก็คือมายาคติที่นำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นการตักตวงฉกฉวยผลประโยชน์จากผู้หญิงที่เป็นรูปอธรรมเห็นได้ชัดปรากฎเป็นกรณีให้เราได้ศึกษากันอยู่บ่อย
ๆ
เพราะฉะนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ชาวพุทธไม่ว่าจะเป็นคนบวชหรือฆราวาสจำเป็นจึงจะต้องศึกษาเข้าทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ว่าในพุทธศาสนาเองผู้หญิงบวชได้
และองศ์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธะเจ้าเองทรงอนุญาติให้ผู้หญิงบวช
มายาคตประการิที่
2
ที่พบโดยเฉพาะที่หลวงย่าบวชเขาบอกว่าผู้หญิงบวชแล้วจะทำให้จีวรเปื้อนเลือด
ๆ นี้หมายถึงประจำเดือน
วิธีการจะรื้อทิ้ง หรือ Deconstruct
รื้อทิ้งมายาคตินี้เราต้องกลับไปศึกษาเรื่องราวครั้งตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราก็จะพบว่า
จีวรนี้ไม่ใช่ของศักดิ์สิทธิ์
จีวรนี้ไม่ใช่เปื้อนแต่เลือดแต่ในความเป็นมาของจีวรนั้น
จีวรเปื้อนทั้งเลือดเปื้อนทั้งหนองของซากศพ
พระทั้งผู้หญิงผู้ชายเป็นผู้ที่ไม่มีสมบัติเป็นของตัวเองจึงอาศัยผ้าห่อศพที่เขาทิ้งไว้อยู่ชายป่าเอามาซักแล้วก็ตัดแปะเป็นผืนสีเหลี่ยมเย็บต่อกันแล้วจึงย้อมด้วยวิธีธรรมชาติคือย้อมด้วยเปลือกไม้ที่อยู่ในป่านั้นเอง
ผ้าจีวรเป็นผ้าที่ไม่มีราคาชาวบ้านไม่พึงประสงค์เพราะเป็นผืนสีเหลี่ยมชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่เอามาตัดต่อกันไม่มีราคา
ไม่เหมือนผ้าสวยๆเป็นผ้าผืนใหญ่ที่ชาวบ้านเอาไปใช้ประโยชน์ได้
ผ้าที่พระสงฆ์ใช้จึงเป็นผ้าที่ไม่มีราคามากที่สุด
แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นการให้สัญลักษณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์
ผู้หญิงถูกต้องไม่ได้
มายาคตินี้เราต้องรื้อทิ้งทำลายเพราะว่าไม่ใช้ความหมายที่แท้จริงในพุทธศาสนาเลย
ถ้าหากว่าเปื้อนเลือดเปื้อนประจำเดือนก็เป็นธรรมชาติ
เปื้อนแล้วก็เหมือนกับเปื้อนฝุ่นเปื้อนละอองซักออกก็ได้
ไม่มีการถืออคติ
สำหรับประจำเดือนของผู้หญิง
ที่ท่าของศาสนาพุทธเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ
ไม่เห็นจะต้องกีดกัน
ไม่ใช้เรื่องที่จะเป็นมลทินทางศาสนาเหมือนกับที่ถือกันในมายาคติอื่น
ๆ มายาคติประการที่
3
คือความเชื่อที่เชื่อว่าสถานที
ที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์
เช่นพระสถูป
ห้ามไม่ให้ผู้หญิงขึ้นไปเวียนเทียนรอบพระสถูป
พระเจดีย์
โดยเฉพาะทางเหนือจะมีมายาคติอันนี้
เพราะว่าทางเหนือนั้นเวลาที่สร้างสถูป
สร้างเจดีย์
จะนิยมประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุอยู่ที่ฐานเจดีย์
แต่ส่วนภาคกลางนั้นพระบรมสารีริกธาตุนั้นจะอยู่ข้างบน
เพราะฉะนั้นผู้หญิงไปเดินรอบพระเจดีย์นั้นก็ยังไม่สูงกว่าพระบรมสารีริกธาตุ
แต่เมื่อเมืองเหนือเอาพระบรมสารีริกธาตุไว้ที่ฐาน
ก็แน่นอนว่าเมื่อผู้หญิงขึ้นไปเดินก็จะต้องสูงกว่า
แต่ถ้าจะบอกว่าเราควรจะเคารพต่อพระบรมสารีริกธาตุที่ฐานที่ฐานข้างในฐานพระเจดีย์
ทั้งผู้หญิงและผู้ชายก็ควรจะให้ความเคารพเหมือนกัน
ไม่ควรจำกัดเฉพาะแต่ผู้หญิงอันนี้ก็จะเห็นว่าเป็นมายาคติ
ที่เราต้องทำความเข้าใจในฐานะที่เป็นชาวพุทธผู้ที่รู้ว่าตอนนี้การศึกษาตอนนี้เป็นการศึกษาสมัยใหม่
ศาสนาพุทธไม่ใช้ศาสนาพราหมณ์ที่จะไม่ยอมให้สอนคนอื่นอยู่แต่ในกำมือเฉพาะของพราหมณ์
ศาสนาพุทธไม่ได้มีที่ท่าอย่างนั้นเพราะฉะนั้นนี้ก็เป็นมายาคติอีกอย่างหนึ่งที่เราจะช่วยกันรื้อทิ้ง
อีกมายาคติหนึ่ง
ที่เราจะต้องช่วยกันรื้อทิ้ง
คืออ้างว่าพระภิกษุณีนั้นบวชไม่ได้เพราะว่าการบวชภิกษุณีนั้นต้องมีสงฆ์
2
ฝ่ายเมื่อไม่มีพระภิกษุณีสงฆ์ก็บวชไม่ได้
ผู้หญิงในประเทศไทยชาวไทยไม่สามารถจะบวชได้
เมื่อศึกษาในพระไตรปิฎก
โดยเฉพาะพระวินัย เล่มที่ 7
จะพบว่าแรกเริ่มนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่ออนุญาติให้พระแม่น้านางบวชโดยการรับคุรุธรรม
8 แล้วก็ได้อนุญาติให้นางสากิยานีอีก
500 นางได้รับการบรรพชาอุปัชฌาย์จากคณะภิกษุสงฆ์
และนับแต่นั้นมาภิกษุสงฆ์ก็เป็นฝ่ายให้การบวชผู้หญิงนั้นมาโดยตลอด
จนกระทั้งมีกรณีที่ผู้หญิงคนหนึ่งท่านมาขอบวชเมื่อพระภิกษุสงฆ์จะต้องถามอันตรายิกธรรม
ก็คือ
ธรรมที่เป็นการบวชของพระภิกษุและภิกษุณี
ฝ่ายพระภิกษุถ้าจำไม่ผิดก็จะมี
13 ข้อ
ฝ่ายพระภิกษุณีมี 24
ข้อ
ตัวอย่างเช่นที่ถามว่า
เป็นขี้เรือนกุดถังหรือเปล่า
เป็นมนุษย์หรือเปล่า
เป็นคนที่หนีหนี้มาหรือเปล่า
เป็นคนรับใช้พระราชาหรือเปล่า
เหล่านี้เป็นต้น
อันนี้เป็นของฝ่ายชาย
ส่วนอันตรายิกธรรมของผู้หญิงนั้นมีถามไปในเรื่องส่วนตัว
เช่น
มีประจำเดือนตลอดเวลาหรือเปล่า
มีอวัยวะเพศ 2 อย่างหรือเปล่าในคนๆเดียวกันหรือเปล่า
ก็ปรากฏว่าผู้หญิงคนนี้อายมากก็เพราะว่าพระภิกษุนั้น
ถามต่อหน้าพระภิกษุจำนวนมาก
จึงไม่ตอบนั่งบิดไปบิดมาอายไม่ตอบ
พระภิกษุสงฆ์จึงนำความนี้ไปกราบทูลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธะเจ้า
ๆ จึงอนุญาติว่าในขั้นตอนการสอบถามอันตรายิกธรรมนั้นของให้ฝ่ายพระภิกษุณีช่วยตรวจสอบให้เสร็ฐเสียก่อน
ในฝ่ายภิกษุณีสงฆ์
แล้วจึงนำมาบรรพชาอุปัชฌาย์ในพระภิกษุสงฆ์
จะเห็นได้ว่าการบรรพชาอุปัชฌาย์เป็นเรื่องของพระภิกษุสงฆ์
ส่วนพระภิกษุณีนั้นเพียงเพื่อมาช่วยตรวจสอบอัตรายิกธรรม
เพราะฉะนั้นการที่อ้างว่าการบวชภิกษุณีนั้นภิกษุไม่เกี่ยว
อันนี้ก็เป็นมายาคติ
เป็นเรื่องที่เราต้องชำระ
เป็นเรื่องที่เราจะต้องรื้อทิ้ง
เพื่อจะสร้างฐานความเข้าใจที่ถูกต้อง
เพราะฉะนั้นที่ประเทศไทยไม่มีพระภิกษุณีสงฆ์ยาวนานถึง
700 ปีก็ด้วยมายาคติที่ไม่ได้ทำความเข้าใจนี้เอง
แท้ที่จริงแล้วประเทศไทยพระภิกษุสามารถจะบวชให้ได้
และเป็นเรื่องของพระภิกษุที่จะบวชให้กับผู้หญิงเป็นพระภิกษุณี
แต่ไปติดขัดตรงคำสั่งของ
พระสังฆราชในปี 2471 ที่มีคำสั่งห้ามไม่ให้พระภิกษุไทยบวชผู้หญิงเป็นพระภิกษุณี
สิกขมานา หรือสามเณรี มายาคติอีกข้อหนึ่ง
ก็คือมายาคติที่ถือว่าพระพุทธเจ้าจะต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น
เพราะฉะนั้นผู้หญิงหลายคนจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
เกิดเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้
ขอให้บรรลุอรรถผลในชาติหน้า
ไม่ยอมบรรลุในชาตินี้อยากจะชะลอไว้ในชาติหน้าโน้น
เพื่อที่จะไปเกิดในสมัยพระศรีอริยเมตไตรย
อีกพุทธกัลป์หนึ่งนะ
ไม่ใช่พุทธกัลป์นี้
พุทธกัลป์นี้เราอยู่กับ
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณะโคดม
ผู้หญิงเราก็จะมีความน้อยเนื้อต่ำใจดูถูกตัวเองว่ายังไงก็บรรลุไม่ได้
ก็จะรอไปบรรลุในพุทธกัลป์หน้า
ที่นี้ต้องตรวจสอบที่มาของความเชื่อตรงนี้
ทำไม่ต้องเชื่อว่าพระพุทธเจ้าต้องเป็นผู้ชาย
จากหลักฐานของนักวิชาการชาวญี่ปุ่นชื่อ
ยูอีจิ
โดยอธิบายว่าหลังจากที่พระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพานแล้วนั้น
เริ่มมีวิธีการที่จะยกย่ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยอธิบายคุณลักษณะที่เรียกว่ามหาปุริลักษณะ
32
ประการว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงมีมหาปุริลักษณะทั้ง
32 ประการนี้ด้วย
มหาปุริลักษณะนี้แล้วตามวรรณคดีของอินเดียจะถือว่าเป็นลักษณะเฉพาะของจักรพรรดิ์
ความพยายามที่จะยกย่ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก็เลยเอามหาปุริลักษณะนี้มาใช้กับพระพุทธเจ้าด้วย
หนึ่งในมหาปุริลักษณะ
ก็คือข้อที่บอกว่าอวัยวะเพศอยู่ในฝัก
อวัยวะเพศชายเรียกว่าลึงค์ใช้คำว่าลึงค์อยู่ในฝัก
ซึ่งในความหมายเดิมนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธะเจ้าทรงไปพ้นจากความต้องการทางเพศแล้ว
เพราะฉะนั้นอวัยวะเพศ
หรือลึงค์ของชายนั้นจึงสงบนิ่งอยู่ในฝัก
แต่ปรากฏว่าในการตีความในการดึงเอาความหมายนี้มาทำความเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าต้องเป็นผู้ชาย
ไปถือเอาเฉพาะว่าพระพุทธเจ้าจะต้องมีลึงค์
เป็นผู้ชายเท่านั้น
อันนี้ก็เป็นมายาคติที่เราจะต้องทำความเข้าใจ
เพื่อที่เราจะได้รื้อทิ้ง
แล้วก็ลุทิ้งความเชื่อที่ไม่ได้มีฐานอยู่ในความถูกต้อง
ไม่มีฐานของพุทธศาสนา
มายาคติแบบนี้ยังมีอีกมากมายที่เราพบซึ่งเราจำเป็นที่จะต้องศึกษา
พระพุทธศาสนาให้แตกฉาน
เพื่อที่เราจะได้เข้าใจว่าสารัตถะแก่นจริง
ๆของศาสนาพุทธสอนว่าอย่างไร
ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Buddhist
in a nutshell พุทธศาสนาที่อยู่ใน
File มือ
หรือพระพุทธศาสนาที่อยู่ Nutshell
แปลว่า เปลือกถั่ว
ทำนองนั้นย่อหมวดลงมาให้เล็กที่สุดได้แก่อะไร
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนว่า
ให้รู้จักทุกข์และหาทางให้พ้นจากทุกข์
องค์สัมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นทรงแสดงให้เห็นด้วยชีวิตของพระองค์เองว่าพระองค์เองได้เคยทุกข์เหมือนกับเราและได้ก้าวล่วงพ้นทุกข์แล้วก็ทรงมีพระเมตตา
บอกเราด้วยว่าวิธีการที่จะทำให้ล่วงพ้นทุกข์นั้นทำอย่างไร
ที่ปรากฏ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเปรียบเหมือนนายแพทย์ที่เชี่ยวชาญรู้ว่ามนุษย์นั้นมีโรคร้าย
แต่ว่ามีเหตุอย่างนี้นะ
แม้ว่าจะเป็นโรคร้านแต่โรคร้ายนี้นะรักษาให้หายได้
และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เคยเป็นโรคนี้แล้ว
คือโรคแห่งความทุกข์
แล้วก็สามารถเอาชนะรักษาได้เหมือนกันว่ายาที่ให้กินใบสั่งยาที่ให้นะเราต้องกินเองนะ
พระพุทธเจ้ากินพระพุทธเจ้าหาย
เราอยากจะหายเราก็ต้องกินยาเอง
กินยาก็คือการปฏิบัติตาม
มรรคมีองค์ 8 นั้นเอง
เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงพุทธศาสนาที่แท้จริงนั้น
สารถะแก่นของพระพุทธศาสนาไม่ได้ติดอยู่กับอคติทางเพศอย่างไรเลย
เพราะฉะนั้นสิ่งทั้งหลายแหล่ที่เราได้ฟัง
เกี่ยวกับทางเพศที่มีกับสตรีนั้น
ล้วนแล้วแต่เป็นมายาคติ
ที่ไม่ได้อยู่ในคำสอน
แก่นของคำสอนของพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
เพราะฉะนั้นเราจะทำความเข้าใจได้ว่าสิ่งใดก็ตามที่เป็นแก่นเราจะรักษาสิ่งนั้นไว้
สิ่งใดก็ตามที่เป็นเปลือก
เป็นกระพี้
ขัดแย้งกับแก่นก็จำเป็นที่จะต้อง
Deconstruct รื้อทิ้ง
เพื่อที่จะเผยให้เห็นความจริงที่งดงามในพุทธศาสนา
ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อนุญาติให้พระแม่น้านางบวชนั้นเพราะว่าเงื่อนไงที่ว่าทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
สามารถจะบรรลุธรรมได้เหมือนกัน
นี่คือความงามของพุทธศาสนาที่ประการชัดเจนว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ไม่จำกัดในวรรณะ
เชื้อชาติ สีผิว
และเพศความงามนี่เองเป็นความงามที่เราจะต้องช่วยกันประกาศให้โลกรู้
อาตมาเล่าเรื่องหลวงพ่อพุทธเมตตาที่พุทธคยา
เป็นหลวงพ่อที่อยู่ในพระสถูปในพุทธคยา
แต่ในสมัยที่มุสลิมรุกรานนั้นก็ได้สั่งให้มีการรื้อทิ้ง
รื้อพระพุทธรูปทิ้งภายใน 2
วันหลังจาก 2 วันก็จะกลับมาตรวจอีกปรากฏว่าโชคดีเหลือเกินที่ผู้รักษา
พระมหาเจดีย์นั้นคิดอุบายได้ก่อกำแพงขึ้นมาชิดเข่าหลวงพ่อและก็ก่อกำแพงปิดหลวงพ่อเลย
เมื่อมุสลิมมาตรวจงานอีก 2
วันต่อมามองเข้ามาในพระเจดีย์ไม่เห็นหลวงพ่อ
เข้าใจว่าทุบทิ้งไปแล้วตามคำสั่ง
ก็ผ่านไปตรวจแล้วก็ผ่านไปนั้นเองเป็นวิธีการที่หลวงพ่อพุทธเมตตา
รอดพ้นจากทหารมุสลิมได้
แต่ว่าในโอกาสที่เราจะพบหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่งเราก็ต้องรื้อกำแพงทิ้ง
เช่นเดียวกับDeconstruct การรื้อทิ้ง
สตรีศึกษาชาวพุทธก็คือ
การที่เราจะรื้อกำแพงที่เป็นกำแพงแห่งความไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้
เป็นความเชื่อจากพื้นบ้านและประสมประสานกับศาสนาอื่น
ที่เข้ามาบดบังความงดงามที่แท้จริงของพุทธศาสนา
เราต้องช่วยกันคนละไม้ละมือที่จะรื้อกำแพงนี้ออก
เพื่อที่ว่าเราจะได้จรรโลงความงามของพุทธศาสนาให้ปรากฏ
ไม่ใช่เฉพาะชาวพุทธแต่สำหรับชาวโลก
เราอวดเขาได้เรามีของดีที่จะอวดเพราะฉะนั้นวิธีการรื้อทิ้งตามการศึกษาในระบบสตรีศึกษานี้ก็จะเป็นเราจะใช้วิธีการนี้ในการรื้อทิ้งสิ่งที่เป็นมายาคติ
สิ่งที่บดบังความงามของพระพุทธศาสนาเอาไว้ในลักษณะต่าง
ๆ แน่นอนที่สุดไม่ใช่ในเฉพาะประเด็นผู้หญิงแม้กระทั่งความเชื่อการปฏิบัติหลาย
ๆ อย่างที่ไม่ใช่จิตวิญญาณที่แท้จริงไม่ใช่สารัตถะ
มิใช่พิธีกรรมที่มาจากความเข้าใจในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงก็เป็นสิ่งที่เราจะต้องรื้อทิ้งด้วยเหมือนกัน
อันนี้ก็คือท่าทีและวิธีการของสตรีศึกษาแนวพุทธที่คุยกันเมื่อไปที่ธรรมศาสตร์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
และคุยกับกลุ่มนักศึกษาอเมริกันที่มาเยือนวัตรเราเมื่อบ่ายวันนี้
ก็เอามาเล่าสู่กันฟังให้ลูก
ๆ
ได้เห็นภาพมีความเข้าใจพอสมควร
ขอเจริญพร |
สถานที่ติดต่อ
วัตรทรงธรรมกัลยาณี
เลขที่ 195 ถนนเพชรเกษม ต.
พระประโทน
อ. เมืองฯ จ. นครปฐม 73000
โทร. (034) 258-270 โทรสาร (034) 284-315
ติชม [email protected]