พระพุทธเจ้าในอดีต ๒๘ พระองค์ ที่กล่าวถึงในพระไตรปิฎกมีอัครสาวก และอัครสาวิกา คือภิกษุณีที่เป็นอัครสาวิกาทั้งสิ้น
      สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ประทานการอุปสมบทให้แก่ผู้หญิง โดยมีพระแม่น้านางมหาปชาบดีโคตมีเป็นภิกษุณีองค์แรก
      พระสมณโคดมพุทธเจ้า มีพระโมคคัลลานะ และพระสารีบุตร เป็นอัครสาวก และมีพระนางเขมาเถรี และอุบลวัณณาเถรี เป็นอัครสาวิกา เช่นกัน
      พระพุทธองค์ทรงฝากฝังพระศาสนาไว้กับ
พุทธบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา บริษัททั้ง ๔ กลุ่มมีความรับผิดชอบในพระศาสนาในสัดส่วนที่ทัดเทียมกัน
      พระพุทธองค์ทรงทำนายไว้ว่า หากพระศาสนาจะเสื่อมก็เป็นเพราะพุทธบริษัท ๔ ไม่เคารพยำเกรงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิกขา และสมาธิ
      และเพราะพุทธบริษัท ๔ ไม่เคารพยำเกรงไม่เอื้ออาทรต่อกันและกัน


       พระภิกษุณี ๑๓ รูปได้รับการยกย่องจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็น เอตทัคคะ คือมีความเป็นเลิศในด้านต่างๆ เช่น พระวินัย พระธรรม อิทธิฤทธิ์ เป็นต้น
       พระภิกษุณีในสมัยพุทธกาลที่ได้บรรลุธรรมมีจำนวนมากกว่า 500 รูป
       คณะภิกษุณีสงฆ์ในสมัยพุทธกาลประสบความสำเร็จ ในการสืบทอดงานพระศาสนาเช่นเดียวกับพระภิกษุสงฆ์
       ในสมัยสุโขทัย เราก็รับสายการบวชมาจากศรีลังกา จึงเรียกว่าลังกาวงศ์
       เมื่อศรีลังกาขาดสายลง มาขอสืบสายไปจากประเทศไทย ในสมัยพระเจ้าบรมโกศ กลายเป็นสยามวงศ์และเป็นนิกายที่เก่าแก่สุดในศรีลังกา


       ประเทศไทยไม่เคยมีการบวชภิกษุณี การแสวงหาการบวชที่ถูกต้อง เป็นขั้นตอนที่เน้นวิธีการ ที่จะดำเนินการโดยการขอรับจากประเทศอื่นที่มีภิกษุณีสงฆ์ตั้งมั่น
        ภิกษุณีสงฆ์ในต่างประเทศนั้น แม้ในประเทศคอมมิวนิสต์ ประเทศที่นับถืออิสลาม ก็ยังประดิษฐานภิกษุณีสงฆ์ได้ แต่ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีประชากรชาวพุทธสูงสุดในโลก ๙๕% กลับมีพุทธบริษัทไม่ครบองค์
        คณะสงฆ์ไทยเน้นว่าเป็นเถรวาท เถรวาทคือถือตามวาทของพระเถระนับแต่ปฐมสังคายนา (๓ เดือน หลังพุทธปรินิพพาน)  ในครั้งนั้นได้ตกลงกันว่า จะไม่มีการเพิกถอนธรรมะที่ได้บัญญัติแล้ว และจะไม่มีการเพิ่มเติมสิ่งใหม่ คำสั่งของคณะสงฆ์ไทย พ.. ๒๔๗๑ ที่ห้ามมิให้พระภิกษุบวชสตรีเป็นภิกษุณี สิกขมานา และสามเณรี นั้นเป็นบัญญัติแต่เดิมหรือ?  หรือเป็นบัญญัติที่เกิดขึ้นใหม่?  
            ถ้าจะตอบว่าเป็นบัญญัติแต่เดิมก็จะขัดกับข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ปรากฏในพระไตรปิฎกชัดเจนว่าพระพุทธองค์เป็นผู้อนุญาตได้สตรีบวชเป็นภิกษุณี
           
ถ้าจะตอบว่าเป็นบัญญัติใหม่ ก็จะขัดกับหลักการของเถรวาท ที่ระบุว่าจะไม่มีการเพิกถอนของเดิม และจะไม่มีการ  บัญญัติเพิ่มเติมมิใช่หรือ?  
      
  การบวชภิกษุณีสงฆ์จะต้องมีสงฆ์สองฝ่ายนั้น ขั้นตอนแรกจะต้องได้รับการยอมรับจากภิกษุณีสงฆ์แล้ว จึงจะได้รับการอุปสมบทจากภิกษุสงฆ์
      
  การยอมรับจากภิกษุณีสงฆ์ ก็คือสอบผ่านอันตรายิกภาพ คือธรรมที่จะเป็นอันตรายต่อเพศพรหมจรรย์มิใช่อุปสมบท
      
 
การบวชหรือสังฆกรรมคือการอุปสมบทนั้นกระทำครั้งเดียวคือในภิกษุสงฆ์
      
  การบวช เป็นสิ่งที่ดี นี่เป็นหลักการ
      
  การบวชผู้ชาย ก็ควรโมทนา
         การบวชของผู้หญิงก็ควรโมทนาเช่นกัน  
      
  ความพยายามที่จะให้มีภิกษุณีสงฆ์ เป็นความศรัทธาในพระพุทธเจ้า เป็นการตอบสนองพระคุณของท่าน โดยความพยายามที่จะรักษาของเดิมที่ทรงอนุญาตไว้    
      
  ความพยายามที่จะขัดขวางภิกษุณีสงฆ์เป็นการไม่เอื้ออาทรต่อพุทธบริษัท และจะทำให้พระศาสนาเสื่อม ตามพระดำรัสของพระพุทธองค์

      ในฐานะนักวิชาการ ผู้จบการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านพุทธศาสนา เป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ และเป็นตัวแทนของประเทศไทย เข้าร่วมประชุมระดับนานาชาติในต่างประเทศ มาตลอดอายุการทำงานที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยเป็น ๑ ใน ๓ ผู้ที่ก่อตั้ง“ศากยธิดา”องค์กรสตรีชาวพุทธนานาชาติ ที่ก่อตั้งขึ้นใน พ.. ๒๕๓๐ เพื่อที่จะร่วมกันฟื้นฟูให้ผู้หญิงได้มีโอกาสศึกษาและปฏิบัติธรรม

              ด้วยความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องของการบวชภิกษุณีสงฆ์ จากการทำปริญญานิพนธ์ในระดับปริญญาเอกเรื่อง “ภิกขุนีปาติโมกข์” ประกอบกับการที่ได้ศึกษาการรื้อฟื้นภิกษุณีสงฆ์ในศรีลังกาเมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว จึงทำให้ ดร. ฉัตรสุมาลย์ ปิดฉากชีวิตทางโลกในฐานะนักวิชาการศาสนา ออกบวชเป็นสามเณรีองค์แรกของประเทศไทย ด้วยความมั่นใจว่า “ปราศจากข้อห้ามใดใด” ทั้งในแง่พุทธบัญญัติ และในแง่มุมทางกฎหมาย

               ดร. ฉัตรสุมาลย์ ได้รับการบรรพชาจากคณะภิกษุสงฆ์ และภิกษุณีสงฆ์ สยามนิกาย จากประเทศศรีลังกา เมื่อเดือนมีนาคม พ..  ๒๕๔๔  ได้รับฉายาว่า “ธัมมนันทา” ทันทีที่กลับมาถึงเมืองไทยก็ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน  มีการเปิดประเด็นในเรื่องนี้อย่างกว้างขวางเป็นเวลานับเดือน “เกิดกรณีภิกษุณีพิพาท” มีทั้งฝ่ายที่สนับสนุน และฝ่ายที่คัดค้าน ซึ่งดูเหมือนว่าฝ่ายที่คัดค้านมีข้ออ่อนด้อยในเหตุผลกว่าของนักวิชาการหลายๆ หน่วยงานซึ่งออกมาสนับสนุนด้วยเหตุผลที่ชัดเจนและเชื่อถือได้จากพระไตรปิฎก

                ไม่ว่าเหตุผลของฝ่ายสนับสนุนหรือฝ่ายคัดค้านจะสรุปลงอย่างไร แต่เหตุผลที่เหนืออื่นใดที่สามเณรีธัมมนันทาให้สัมภาษณ์ไว้นับเป็นการเลือกเส้นทางชีวิตอันงดงามของตนเอง “อาตมาออกบวชเพราะต้องการจะถวายตัวรับใช้พระพุทธศาสนา เพื่อทำหน้าที่เผยแพร่พระธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาตมาบวชด้วยความศรัทธาจากหัวใจ จากความมุ่งมั่นและตั้งอกตั้งใจอย่างดีที่สุด ด้วยความกตัญญูต่อพระพุทธเจ้า เพราะว่าได้ศึกษาแล้วว่า ภิกษุณีสงฆ์นั้นเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าประทานไว้ให้แก่ลูกผู้หญิง และพระศาสนาที่มอบให้ไว้นั้นเป็นพระศาสนาที่มอบให้พุทธบริษัท ๔ ช่วยกันดูแล อันประกอบไปด้วย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาการบวชของอาตมานั้น มั่นใจว่าได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องตามพระวินัย ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร ปัญหาจะอยู่ที่ความไม่เข้าใจมากกว่า บางคนพอเห็นผู้หญิงครองจีวรก็ไม่เข้าใจ จะเกิดคำถามว่าทำไมผู้หญิงมาใส่จีวร ทั้งๆ ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอนุญาตให้ผู้หญิงบวชได้”

                 การบวชของสามเณรีธัมมนันทา จึงเป็นการจุดประกายความหวังให้แก่ผู้หญิงที่ตั้งใจจะหันหน้าเข้าสู่เส้นทางแห่งการศึกษาปฏิบัติธรรม ได้มีทางเลือกซึ่ง “งดงามที่พระพุทธองค์ทรงประทานไว้ให้แก่ลูกสาว”


                
๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ ที่วัตรทรงธรรมกัลยาณี จัดให้มีการบรรพชาสามเณรีองค์แรกขึ้นในประเทศไทย       โดยนางวรางคณา วนวิช เยนทร์ อายุ ๕๖ ปี ซึ่งบวชชีมานานถึง ๙ ปี มีความประสงค์จะบรรพชาเป็นสามเณรี จึงแจ้งความจำนงมายังสามเณรีธัมมนันทา ขอให้ติดต่อเรื่องการเดินทางไปบวชสามเณรีที่ศรีลังกา ซึ่งขณะนั้นเองมีภิกษุณีสงฆ์เดินทางมาจากทั่วโลก เพื่อร่วมประชุม “อริยวินัย” กับคณะกรรมการศาสนาเพื่อการพัฒนา สามเณรีธัมมนันทา จึงให้จัดการบวชขึ้นที่วัตรทรงธรรมกัลยาณี เพื่อจะได้มิต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปบวชถึงประเทศศรีลังกา โดยในการบรรพชาครั้งนี้ มีคณะภิกษุสงฆ์ไทยเป็นสักขีพยานและคณะภิกษุณีสงฆ์ศรีลังกาเป็นผู้บรรพชาให้ โดยตั้งฉายาให้แก่นางวรางคณาว่า “ธัมมรักขิตตา” ซึ่งนับเป็นการบวชสามเณรีสายเถรวาทอย่างถูกต้องเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย


ต้องการทราบข้อมูลเรื่องการบวชภิกษุณีในประเทศไทยโดยละเอียดสามารถอ่านได้จากหนังสือเล่มนี้

ภิกษุณีมีไม่ได้  วาทะกรรมที่ต้องตรวจสอบ
ภิกษุณีมีไม่ได้  วาทะกรรมที่ต้องตรวจสอบ

ดูรายละเอียดการนำเสนอกระทู้การบวชภิกษุณีในประเทศไทย จากสมาชิกวุฒิสภา
กลับหน้า  การสืบสายภิกษุณี

 วัตรทรงธรรมกัลยาณี เลขที่ 195 ถนนเพชรเกษม ต. พระประโทน อ. เมืองฯ จ. นครปฐม 73000
โทร. (034) 258-270 โทรสาร (034) 284-315   E- mail : [email protected]
Copyright (c) 2002-2003 Thaibhikkhunis.org  All rights reserved.