ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 7 เราจะทำสมาธิ กันซัก 20 นาที สำหรับคนที่ทำอานาปานสติกำหนดอยู่ที่ลมหายใจ คือ กำหนดรู้อยู่กับลมหายใจเข้าออก คนที่คุ้นกับการทำฐานสามตรึกอยู่ที่ฐานที่สาม เป็นฐานกลางตัวตั้งใจฟังธรรมจากฐานที่สาม อาตมาจะขอปรารภธรรมในเช้าวันนี้ เกี่ยวกับวิถีชีวิตของเราในปัจจุบัน เกี่ยวกับเรื่องที่เราพยายามที่จะทำตัวของเราเองให้ทันสมัย คำว่าสมัยก็ไม่ใช่คำใหม่เป็นคำโบราณ ในภาษาบาลีจะใช้คำว่า สมายะ ดูเหมือนว่าเราจะกลัวว่าคนอื่นเขาจะว่าเราไม่ทันสมัย ว่าเราล้าหลัง สมัยที่ว่านี้ก็เป็นคุณค่าที่สังคมให้สังคมสร้างขึ้นมา ท่าทีของสังคมปัจจุบันเป็นสังคมแห่งการเสพ ไม่ใช่พระไม่เสพ พระก็เสพเหมือนกัน แต่ว่าเสพน้อยกว่าชาวบ้าน ในเมื่อเราอยู่ในสังคมแห่งการเสพ ในฐานะที่เป็นชาวพุทธเราจำเป็นที่จะต้องมีองค์ความรู้ที่ถูกต้อง จำเป็นที่จะต้องรู้ จักที่จะเสพอย่างมีปัญญา เวลาที่อาตมาใช้คำว่าเสพก็คือการป้อนเข้าสู่ตัวเราทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจนั่นคือการเสพ วันก่อนนั้นให้ลูกคนหนึ่งไปเย็บหนังสือเข้าเล่มหนังสือ คุณโยม กระดาษที่เขาใช้ทำปกเป็นกระดาษหอมน่าตกใจ น่า ตกใจว่ากระดาษนี้ แท้ที่จริงเราต้องการแค่เพียงเป็นพาหนะเพื่อที่จะให้เราได้อ่านตัวหนังสือได้ เราทำปกก็คือเพื่อที่จะให้มั่นคงแข็งแรงกับเนื้อหาของหนังสือข้างในจุดประสงค์พื้นฐานมันได้เปลี่ยนไปแล้ว กลายเป็นพะนอจมูกไปด้วย เราจะอ่านหนังสือคุณโยมแต่เราพะนอจมูกไปด้วย สีสันเป็นการพะนอตาเอาใจตาจะต้องมีสีสวยงาม สีฟ้าคุณโยมและยังมีลายเงินๆ อีกนะ อันนั้นก็เป็นการพะนอตา ทีนี้พะนอจมูกโดยการให้มีกลิ่น อาตมาเข้ามาในห้องสวดมนต์เวียนหัวใหญ่วันนั้น นึกว่าลูกๆ ใช้สบู่แปลกใหม่กลิ่นแตะจมูกเหลือเกินที่แท้เป็นที่กระดาษหอมที่เขาทำปกหนังสือ แน่นอนที่สุดในเมื่อมันเป็นกระดาษหอมเราต้องจ่ายค่ากระดาษหอมซึ่งมันก็จะราคาสูงขึ้นมากกว่ากระดาษธรรมดา อันนี้ก็คือท่าทีของการเสพที่เราจำเป็นต้องมีสติปัญญาว่าเราจะทำปกหนังสือเพื่ออะไร เพื่อการใช้งาน ปกหนังสือสวยนี่ก็เป็นขั้นหนึ่งของการเสพที่เกินความจำเป็นไปแล้วเป็นการเสพทางตา มีปกหนังสือหอมเพิ่มขึ้นมาอีก ก็เป็นอีกขั้นหนึ่งของการเสพที่เกินความจำเป็นนี่เป็นตัวอย่าง เป็นตัวอย่างที่อยากจะพูดถึงว่า เราอยากจะทันสมัย เราอยากมีอะไรที่ล่าสุดเสมอ แต่ถ้าเราเกิดปัญญา ถามว่าสิ่งที่ล่าสุดที่เราว่านี้มันใช่หรือเปล่า มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า ทีนี้พูดถึงผู้หญิง ผู้หญิงก็อยากแต่งตัวสวยงามตามสมัย จริงๆ แล้วการแต่งตัวของผู้หญิงนั้นมันมีสองอย่าง ตามแฟชั่นหรือแต่งตัวตามสไตล์ สไตล์ แปลว่า แบบอย่างของการแต่งตัว ตามแฟชั่นที่คนอื่นเขาเป็นคนจัดสรรให้เรา เราก็วิ่งตามแฟชั่น แฟชั่นนี้มันจะเวียนมาเวียนไป หลวงย่า เคยพูดเสมอว่าไม่ว่าจะแฟชั่นอะไรตั้งแต่หัวจรดเท้า 25 ปี มันจะวนกลับมาใหม่ สิ่งที่คุณโยมเรียกว่ามันทันสมัยเหลือเกิน ปู่ย่าตายายเราทันสมัยกันมาก่อนแล้วในรูปแบบนั้น มีอยู่สมัยหนึ่งเราลุกขึ้นมานิยมใช้รองเท้าส้นตึก หลวงย่า เห็นแล้วท่านก็ขำบอกแบบนี้ สมัยท่านก็มี 25 ปี มันก็จะเวียนมา รองเท้าส้นเแชมเปญ คุณโยมนึกว่าทันสมัยมากสมัย อาตมาก็ใส่รองเท้าส้นแชมเปญ วัสดุสิ่งที่ใช้อาจจะแตกต่างกันไปแต่ว่ารูปแบบของแฟชั่นมันก็จะเวียนกลับมาทุกๆ 25 ปี ที่นี้การที่เราแต่งตัวตามแฟชั่น ก็คือเราไม่มีจุดยืนของตัวเราเอง เราไม่รู้ว่าธรรมชาติของเราเป็นอย่างไร เราจะแต่งตัวให้งามต้องดูธรรมชาติของตัวเราเอง ว่าเรามีข้อด้อยอย่างไร มีข้อเด่นอย่างไร ถ้าเรามีความกล้าหาญที่จะรู้ว่าเรามีจุดเด่นจุดด้อยอย่างนี้ การแต่งตัวตามแฟชั่นหลายครั้ง พบว่ามันยิ่งเสริมจุดด้อยไม่ใช่เสริมจุดเด่น ฉะนั้นผู้หญิงที่ความเป็นตัวของตัวเอง จะแต่งตัวตามสไตล์ของตัวเองไม่จำเป็นต้องตามแฟชั่น 2 อย่างเป็นสไตล์ ให้เลือก เราสามารถแต่งกายตามสไตล์ของเราเอง โดยที่เราจะอยู่ในสมัยเสมอ ไม่มีการล้าสมัย เพราะฉะนั้นจุดนี้เองถ้าเราไม่รู้จักตัวเราเอง ไม่ได้ตรวจสอบธรรมชาติของตัวเราเอง เราก็จะแต่งตัวเหมือนตุ๊กตาหุ่นยนต์ที่เขาจะชักเชิดให้เรานุ่งสั้นจนเราก้มไม่ได้ หรือนุ่งยาวจนกระทั่งความยาวของกระโปรงนั้นเข้าไปมัดกับซี่ล้อรถมอเตอร์ไซด์ตกลงมาตาย อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับเราว่าจะมีปัญญาฉลาดไหม ? ว่าเราจะแต่งตัวอย่างไรให้งามสมกับตัวเรา และก็ให้มีความสะดวกสบายสมกับวิถีชีวิตของเรา ถ้าเรายังต้องขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ เรายังต้องขึ้นรถเมล์ แล้วเรายังแต่งตัวกุยกราย เหมือนคนนั่งรถเก๋ง เราก็จะเจอะปัญหา เราจำเป็นจะต้องรู้ธรรมชาติของร่างกายของเรา วิถีชีวิตของเราว่าอะไรควร อะไรไม่ควร อะไรเหมาะ อะไรไม่เหมาะ เรื่องของธรรมชาติจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องรู้จัก เคารพในธรรมชาติ เมื่อกี้นี้ อาตมาพูดถึงกลิ่น คุณโยมบางคนอาตมาคุยให้ฟังแล้วแต่อยากจะคุยให้ฟังอีกนิดหนึ่ง สำหรับหลายคนที่ไม่เคยมีโอกาสพบกันบ่อย ๆ มีนักเคมีคนหนึ่งเป็นคนไทยมีเพื่อนที่อเมริกามาเล่าให้ฟังว่า เวลาจะใช้ผงซักฟอกคนไทยจะเน้นต้องมีกลิ่นหอม และยังไม่พอต้องติดทนด้วย เขาบอกว่าการที่จะทำให้กลิ่นหอมติดทนนั้น นักเคมีซึ่งเป็นผสมสูตร ชมพูก็ดี ผงซักฟอกก็ดี ให้มีกลิ่นหอมนั้นง่ายมากเลย เพียงแต่ใส่สาร ชื่อว่า มัช ตัวหนึ่งเข้าไป สารมัช นี้เป็นตัวจับกลิ่น ให้เกาะอยู่กับผ้า ผ้านั้นเราเอามาใส่กลิ่น ๆ นี้ก็เข้าไปในปอดของเรา และสารมัช มันก็เข้าไปด้วย และมันก็มีความสามารถจับอย่างที่ได้บอกแล้ว ก็จับระบบหายใจของเราข้างใน เราจึงไม่ต้องสงสัยเลย ทำไมคนสมัยปัจจุบันจึงเป็นโรคมะเร็งกันมาก เพราะว่าชีวิตรอบข้างตัวเราเต็มไปด้วยความไม่เป็นธรรมชาติ เราลืมไปว่าแชมพูที่เราสระผม จริง ๆเพื่อจะให้ผมสะอาด จุดประสงค์ดังเดิม การทำแชมพูสระผมก็เพื่อจะให้ผมสะอาด เวลานี้เราก็เพิ่มว่าผมสะอาดแล้วผมต้องหอม ผมหอมแล้วผมต้องนิ่ม อันนี้เป็นการเสพเกินความประสงค์เดิมของแชมพู เราก็ต้องเป็นคนจ่าย จ่ายความปรารถนาของเราที่จะเสพ ถ้าต้องการกลิ่นหอมนาน มันก็จับเข้าไปในปอด จับเข้าไปในเส้นเลือด ทางเดินอากาศในกายของเราด้วย เสร็จแล้วก็มาพูดถึงน้ำ เวลานี้เราก็นิยมความสะดวกสบาย อะไรทุกอย่างก็ใส่พลาสติกหมด เขาก็พบว่าในการใส่น้ำเย็นในขวดพลาสติก เอาใส่ในตู้เย็น โดยเฉพาะเอาใส่ในช่องฟีซ ให้แข็งนั้น มันจะมีสารเคมีตัวหนึ่งเรียกว่า ไดโอซิน ๆ นี้เป็นสารที่มีความอันตรายต่อร่างกาย จะทำให้สารไดโอซินนี้ออกมา แล้วจะปนอยู่กับน้ำแล้วเราก็ดื่มน้ำเข้าไป เวลาที่เราอุ่นอาหาร ถ้าเราก็ใส่ภาชนะที่เป็นพลาสติก ก็เป็นในลักษณะเดียวกัน เราก็จะได้สารพิษเข้าไปในร่างกาย ที่นี้เมื่อพูดถึงน้ำแล้วก็เลยพูดไปถึงน้ำขวดที่เราดื่ม ดั้งเดิม อาตมาโตขึ้นมาโดยการกินน้ำฝน เราจะรองน้ำฝนเมื่อฝนตกหนัก ๆ ซัก 2-3 ห่า หรือ 2-3 ครั้งใหญ่ ๆ ครั้งใหญ่ ๆ นะคนโบราญเขาเรียกว่า ห่า เมื่อชำระหลังคาสะอาดดีแล้วเราก็จะรองน้ำไว้กินตลอดปี จะมีน้ำไว้ใช้ ไว้กินตลอดปี ที่นี้พอมาถึงสมัยใหม่ คุณโยมบางคนที่เกิดก่อน อาตมาเวลาที่เราไปนั่งร้านอาหาร เราไม่เคยต้องเสียเงินค่าน้ำ พอต่อมาก็เริ่มน้ำใส่น้ำชา ใส่น้ำแข็งนิดหน่อย ถ้วยละ 25 สตางค์ ต่อมาก็เป็นถ้วยละ 50 สตางค์ ต่อมาก็เป็นถ้วยละ 1 บาท ต่อมาไม่เสริฟเลยต้องสั่งน้ำขวด น้ำแข็งก็ต่างหาก น้ำแข็งก็ถ้วยละ 1 บาท น้ำขวดก็ต่างหากอย่างต่ำก็ขวดละ 5 บาท นี่คือการเปลี่ยนแปลง ในสังคมในการเสพ ที่บีบครั้น ผลักดันให้เราเสพเสมอ และมากขึ้น ที่นี้ที่เป็นน้ำขวดโดยเฉพาะที่ผ่านการกรองที่เรียกว่า โอเอส นี้จะกรองออกหมดทั้งสิ่งที่มาในธรรมชาติของน้ำ ซึ่งสามารถจะกินได้ก็กรองออกหมด เพราะฉะนั้นน้ำขวดหลาย ๆ ชนิดที่คุณโยมกินอยู่ปัจจุบันนี้เรากินกากน้ำไม่มีสารอะไรเลย ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งที่เดิมน้ำที่เป็นธรรมชาติของเรามันจะมีสารบางชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ที่ไปช่วยทำให้การสูบฉีดเลือดของหัวใจ ในเวลาที่หัวใจตีบตัน มันจะช่วยให้หัวใจคลายตัว แต่เมื่อเรากรองสารตัวนี้ออกจากน้ำ หัวใจเราก็ตีบและก็จะไม่ค่อยคลายตัว ทำให้เราเกิดปัญหาเป็นโรคหัวใจ จากการศึกษา 40 % ของคนอเมริกัน เป็นโรคหัวใจ จะขาดสารตัวนี้ อันนี้ก็เป็นวิถีชีวิตของเราที่มันได้เพี้ยนไปจากเดิม ไกลออกไปมากสิ่งที่เราทำได้สร้างปัญหา สร้างอุปสรรค ให้กับตัวเราเองโดยที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ อาตมาพยายามจะบอกว่าให้เราทุกคนเข้าใจธรรมชาติของตัวเราเอง แล้วก็ดำเนินชีวิตตามความต้องการของธรรมชาติ พยายามอย่าตกเป็นเหยื่อของสังคมที่เขาบีบรัด เร่งเร้าให้เราเสพ โดยเกินความจำเป็นเหมือนที่ อาตมาเล่าเรื่องกระดาษหอม ชีวิตของเราถูกพัดพาจากการดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ชีวิตของเราซับซ้อนมากขึ้น ในความซับซ้อนเราหลายคนก็ไม่เข้าใจว่ามันจะมีผลข้างเคียงอย่างไร แม้แต่คนที่ผลิต เนื่องจากเวลาที่ผลิตเป็นการค้นพบใหม่เขาเองก็ยังไม่ได้ศึกษาอย่างรอบคอบ ว่าสิ่งที่ผลิตมานี้จะเป็นโทษต่อผู้เสพอย่างไรบ้าง คุณโยมจะสังเกตเห็นสมัยก่อน ที่เขาผลิตยา ยาคุมกำเนิด ผู้หญิงเราก็ใช้ยาคุมกำเนิดกันใหญ่ หลายปีต่อมาพบว่าคนที่กินยาคุมกำเนินยี่ห้อนี้ ๆ หนักเข้าเวลาที่ต้องการจะมีลูกเข้าจริง ๆ ก็มีลูกไม่ได้ เพราะว่าสารเคมีที่กินเข้าไปในร่างกายมันทำให้ไม่มีลูกจริง ๆ แต่มันก็มีผลข้างเคียงอย่างที่เราคิดว่ามันจะทำให้เราไม่มีลูกในช่วงที่เรากิน แต่มันมีสารตกค้างแม้ว่าเราหยุดกินแล้ว อันนี้คนขายยา หมอที่สั่งยาให้เรากินเขาก็ไม่รู้เพราะว่าเขาก็อาศัยการค้นคว้าจากเภสัชกร จะเห็นว่าเราเป็นหนูตะเภาอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอย่าไปตื่นเต้น อย่างเพิ่งไปตื่นเต้นกับของที่ทันสมัยล่าสุด ยอมเป็นคนตกสมัยเสียบ้าง ยอมเป็นคนอยู่นอกสมัยเสียบ้าง ในท้ายที่สุดแล้วเราอาจจะปลอดภัยกว่าคนอื่น ๆ ตระหนกรู้ในตัวของตัวเราเองว่าเราต้องการอะไร เสพเท่าที่จำเป็นอย่าเป็นเหยื่อของการเสพที่คนอื่นเขาชักพาเราไปในสิ่งที่เราไม่ต้องการ ที่คนอื่นเขาชักพาเรา แล้วเราก็อยู่ในกิเลสของความกลัว กลัวว่าจะไม่ทันสมัย กลัวว่าจะไม่เท่าเทียมคนอื่น กลัวที่จะน้อยหน้าคนอื่น นั้นก็คือคนที่ไม่รู้จักธรรมชาติของตัวเราเอง คุณโยม เคยได้ยินไหม ? ที่เขาออกรถมารุ่นใหม่ มีการป้องกันเวลาที่รถชนกันจะมีหมอนอากาศออกมากันไม่ให้หน้าคุณโยมกระแทก แต่เขาก็ไม่ได้บอกเราว่าเวลาที่กระแทกเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งปกติแล้วเราไม่จำเป็นต้องใช้หมอนกัน แต่หมอนมันกระเด้งออกมาอัดลูกเขาตาย อันนี้เป็นสิ่งข้างเคียงของสิ่งต่างๆที่เขานำเสนอให้เรา แล้วเราก็ฟังดูดี เราที่เราเองก็ยังไม่ได้พิจารณา เราเองก็ไม่ได้ตรวจสอบ อะไรที่ออกมาใหม่ ถ้ามันดีจริง คุณโยม มันก็จะอยู่ได้นาน ขอให้เราเป็นคนที่ไม่ทันสมัยดีไหม ? แต่ว่าเราได้มีโอกาสให้เขาได้พิสูจน์ในสิ่งที่เขาขายว่า มันสามารถจะอยู่ได้ยืนยาว มันสามารถจะอยู่ได้โดยไม่มีผลข้างเคียง แล้วเราค่อยเสพตามเขา มันน่าจะเป็นวิธีที่ฉลาดมากขึ้น อย่างไปด่วนกระโดดตาม เพียงอยากจะเป็นคนทันสมัย พิจารณานิสัยการเสพของเรา อย่าปล่อยให้ตัวของเราเอง ตกเป็นเยื่อยของการเสพโดยที่ความจริงเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องจ่ายเงินเป็นจำนวนมาก นี่คือวิถีชีวิตสมัยใหม่ที่เรามันต้อนเราเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น อยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่มีปัญญาฉุกคิดเราก็จะถูกพลัดพาไป เฉพาะฉะนั้นวันนี้ขอให้เรามีปัญญา ขอให้เรามีปัญญามากขึ้นพอที่จะรู้ว่าความจริงแล้วเราต้องการอะไร เราไม่ต้องการอะไร อย่าปล่อยให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อของสังคมการเสพ ในช่วงเข้าพรรษาปีที่แล้ว มีอาจารย์ที่เขามีความเข้าใจในเรื่องของโลกาวิวัฒน์ เขาอธิบายให้เราฟังใช้เวลา 3 ชั่วโมง แล้วก็มาถึงบทสรุปที่ว่าเราจะรอดจากโลกาวิวัฒน์ ถ้าหากว่าเราจะใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่ในวงของเราเอง โดยที่ไม่ถูกพลัดพาเข้าไปในวงจรของโลกาวิวัฒน์ อันนี้ก็คือข้อสรุป ในท้ายทีสุดเราก็กลับเข้ามาสู่ธรรมชาติ ธรรมดา ธรรมของพระพุทธองค์ .

                                                                                                      
ขอเจริญพร.
                                                                                                   8 มิถุนายน 2546.
กลับหน้า   คำสอน

 วัตรทรงธรรมกัลยาณี เลขที่ 195 ถนนเพชรเกษม ต. พระประโทน อ. เมืองฯ จ. นครปฐม 73000
โทร. (034) 258-270 โทรสาร (034) 284-315   E- mail : [email protected]
Copyright (c) 2002-2003 Thaibhikkhunis.org  All rights reserved.