เรื่องที่อยากพูดให้พวกเราฟังในวันนี้
ก็คือเรื่องอายุขัย
เคยพูดไปแล้วสำหรับลูกบางกลุ่ม
คำว่าขัยเป็นคำเดียวกับคำว่า
ขยะ คือทิ้งไปแล้ว
อายุขัยของเรา
เวลานี้คุณโยมอายุ 25 ปี
ทิ้งไปแล้ว25ปี
ไม่รู้ทำดีทำชั่ว
เป็นมรรคเป็นผลอย่างไรไม่รู้ อาตมาเพิ่งกลับมาจากมาเลเซีย ได้ไปเยี่ยมวัดหนึ่งชื่อวัดสุขาวดี อยู่เชิงเขามีห้องประชุมใหญ่ ห้องสวดมนต์ใหญ่ บรรยากาศดีมาก เอื้อให้เราทำความรู้สึกว่าเราอยู่บนสรวงสวรรค์ เพดานทั้งหมดทำเป็นเมฆ แล้วก็บรรยากาศภายในห้องสวดมนต์จะงดงามมาก สิ่งที่อยากจะพูดสำคัญกับหัวข้อวันนี้ ก็คือที่นาฬิกานั้น ตรงกลางหน้าปัทม์นาฬิกาเขาติดคำว่า ซี้ ซี้เป็นตัวอักษรจีนตัวเดียวแปลว่า ตาย อาตมาก็ถามเขาว่าทำไมเขาถึงติดคำนี้ หลายคนจะบอกว่าเป็นคำอัปมงคล สมมติว่าคุณโยมจะซื้อนาฬิกานี้ไปให้ใครในวันเกิด เขาคงคิดว่าคุณโยมไปแช่งเขา วัดนี้เป็นวัดชาวพุทธมหายาน เขาอธิบายว่าเราต้องตระหนักว่าความตายนั้นอยู่กับเราทุกลมหายใจ เราจะตายวันไหน เราไม่มีโอกาสที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้นเราจึงจำเป็นที่จะต้องระลึกรู้ตลอดเวลาถึงความตาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้งหนึ่งถามพระอานนท์ว่า "อานนท์ เจริญมรณานุสสติวันละกี่ครั้ง" พระอานนท์ตอบว่า "เจ็ดครั้งพระเจ้าข้า" องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารับสั่งว่า "อานนท์เธอยังประมาทนัก" หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าเรื่องความตายเป็นสิ่งที่เราควรเจริญภาวนาอยู่เสมอๆ อาทิตย์ผ่านมานี้ หลังจากที่กลับมาจากมาเลเซีย ก็มีเรื่องที่ลูกคนหนึ่งจากไป ลูกคนนี้เขาไม่สบายเป็นมะเร็งในเม็ดเลือด ต่อสู้กับความตายเพื่อที่ยังชีวิตไว้เป็นเวลาปีกว่าเกือบ 2 ปี หนังสือ "PEOPLE" ที่ลงข่าวรวบรวมชีวประวัติของอาตมานั้น คุณพิมพัณธุ์ เขามาสัมภาษณ์ วันที่มาสัมภาษณ์ก็พาชายหนุ่มคนหนึ่ง เด็กคนนี้สำหรับอาตมานึกว่าสัก 17-18 ปี แต่จริงๆแล้วเขาอายุ 29 เข้ามาช่วยคุณพิมพัณธุ์ทำหนังสือชีวประวัติของอาตมา อาตมาก็รู้จักเขาตั้งแต่บัดนั้น เป็นคนที่มีอัธยาศัยดี น่ารัก และก็แฟนของเขาก็ยังทำ artwork ให้กับยโสธราด้วย เมื่อเขาเจ็บหนักชนิดที่หมอไม่รับแล้ว อาตมาก็แนะนำเขาว่ามีวิธีเดียวคือให้ร่างกายของเราคงอยู่ด้วยสารบริสุทธิ์ ขอให้เขาถือมังสวิรัติ เขาอยากจะอยู่วัตรได้บรรยากาศของวัตร เพื่อที่จะได้ปฏิบัติบำเพ็ญเพียร วัตรเราก็เป็นวัตรผู้หญิงไม่สามารถที่จะรับรองเขาได้ ก็เลยพาเขาไปฝากที่วัดหนองหอยที่ราชบุรี พอดีหลวงพ่อท่านทำห้องพักเสร็จใหม่ๆ ก็นัดหมายกันว่าจะไปวันที่ 4 อาตมาก็รู้สึกสะดุดใจไม่ชอบวันที่ 4 เลยบอกว่าวันที่ 5 ก็แล้วกัน ปรากฏว่าวันที่ 5 เขาก็ไปไม่ได้เพราะว่าต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง เขาได้ไปอยู่ที่วัดหนองหอยตอนที่อาตมาไปมาเลเซีย อยู่ได้เพียงคืนเดียวไข้ขึ้นสูงมาก ก็ต้องพากลับเข้ามาโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง เมื่ออาตมากลับมาจากมาเลเซียก็มีโทรศัพท์มาตามว่าอยากจะให้หลวงแม่ไปเพราะว่าตอนนี้แมน เขาชื่อเล่นว่าแมน โคม่าแล้ว อาตมาวางธุระทุกอย่างไปทันที พยายามจะติดต่อพวกเรา แต่ไม่สามารถจะติดต่อได้ ก็บังเอิญมีรถมาจากราชบุรีก็ขออาศัยรถเขาไป คนเจ็บนี้ธาตุไฟแตก ธาตุไฟแตกจะมีอาการร้อนมาก ร้อนกระสับกระส่าย ธาตุน้ำแตกก็คือปัสสาวะไหล ไม่รู้สึกตัว แต่เมื่ออาตมาไปถึงนั้นเขาก็ส่งเสียงอือ แล้วลืมตาขึ้นนิดหนึ่ง ในช่วงนั้นอาตมาสวดมนต์ให้เขา สวดมนต์ของพระพุทธเจ้าไภษัชยคุรุ น้อมนำจิตใจของเขาให้ผูกพันอยู่กับพระพุทธเจ้า แล้วก็ลงไปฉันเพล ฉันเพลแล้วอาตมาบอกกับแฟนของเขาว่า ยังไม่ให้พรหรอกแต่จะขึ้นมาให้พรคนเจ็บ เมื่อขึ้นมาสวดให้พรคนเจ็บตอนที่อาตมาจะลากลับ อาตมาก็บอกเขาว่า "แม่จะกลับแล้ว" คนเจ็บรู้สึกตัว อาตมาคิดว่าเป็นครั้งสุดท้าย เขายกมือขึ้นพนม "หลวงแม่ครับ ขอบคุณครับ" น้ำตาเต็มตา แล้วก็พบว่านั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของเขา อาตมารู้ว่าเขาจะไปในวันรุ่งขึ้น ก็คอยฟังโทรศัพท์อยู่ เขาก็ไปจริงๆ เวลา 6 โมงเย็น พวกเราที่รู้ข่าวเฉพาะคนใกล้ชิดไปรดน้ำศพ แล้วก็ไปเทศน์ให้เขาฟังตามคำเชิญของเจ้าภาพ อาตมาไม่คิดว่าจะทำพิธีกรรมสงฆ์อย่างนั้นเป็นอาชีพ แต่ว่าในบางกรณีที่คนเจ็บผู้เสียชีวิตมีความผูกพันหวังว่าเราจะเป็นที่พึ่ง ก็ต้องไปให้เป็นที่พึ่งให้เขา อาตมาเล่าให้ฟังเพื่อให้รู้สึกว่าความตายเป็นสิ่งใกล้ชิดกับตัวเราเอง นี่เป็นลูกคนหนึ่งที่อยู่ในแวดวงของวัตรของเรา ความตาย อาจจะเกิดขึ้นกับลูกคนใดคนหนึ่งก็ได้ เพราะฉะนั้นที่พูดถึงความตาย อย่าให้รู้สึกไกลตัว พิจารณาอายุขัยชีวิตของเราที่ผ่านมา ถึงขนาดนี้บางคน30 กว่า บางคน 40 กว่า เราก็ยังนึกโลดแล่นไปในอนาคต มีความผูกพันโกรธแค้นชิงชังกับใคร เราก็ยังยึดติดมันอยู่ หารู้ไม่ว่า เราก็อาจจะไปวันนี้ เขาก็อาจจะไปวันนี้ ไม่ยอมละวางในความเคียดแค้นชิงชังนั้น คนบางคนที่อาตมาได้พบ สามีภรรยาทะเลาะกันโกรธกัน ไม่พูดกันเป็นเดือน แล้วสามีซึ่งเป็นตำรวจไปถูกยิงตาย ภรรยาก็ร้องไห้ราวใจจะขาดว่าไม่ได้พูดกันมาเลยเดือนหนึ่งก่อนจะตาย แม้ตอนตายก็ยังไม่ได้พูดกัน อาตมาจึงนำเรื่องเล่านี้มาเป็นอุทาหรณ์ เตือนสติพวกเราว่า ความสัมพันธ์ของเรากับคนรอบข้างทั้งดีและไม่ดี ความสัมพันธ์ที่ไม่ดี ความสัมพันธ์ที่คับข้องขุ่นหมองใจกัน พยายามเยียวยารักษา เพราะว่าเราก็ไม่รู้ว่าอายุเราจะยืนยาวไปแค่ไหน เราก็ไม่รู้ว่าเขาจะยืนยาวไปแค่ไหน ให้เรามีความตั้งมั่นในคำสอนของพระพุทธองค์ ตั้งมั่นที่จะเข้าใจว่า ชีวิตประกอบกันขึ้นด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อตัวใดตัวหนึ่งจากไป ตัวอื่นก็อยู่ไม่ได้ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นธาตุที่มาจากจักรวาล เราเกิดขึ้นจากธาตุดินน้ำ ลม ไฟ ที่มาจากจักรวาล เมื่อเราตาย ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟก็คืนสู่จักรวาล สิ่งที่เรียกว่าตัวเรานั้นเป็นเพียงสมมุติที่ให้เราอยู่ช่วงหนึ่งนั่นเอง ครั้นเวลาตาย นอนตัวซีดอยู่นั้น มือที่เหยียดออกมาก็ซีด ทรัพย์สมบัติอะไรที่เราแสวงหาเอาไว้มหาศาล เวลาจะตายก็แบมือ เอาไปไม่ได้สักสตางค์แดงเดียว ก็ยิ่งทำให้เราได้คิด ได้ธรรมะ ใจที่เราจะเพียรพยายามละวางมากขึ้น ทีนี้ลูกๆอาจจะบอกว่า ในท้ายที่สุดละวางหมดแล้วที่เหลืออยู่นั้นจะทำอย่างไร เรามาตั้งสติกันใหม่ว่า เราอยู่ขณะกับปัจจุบัน ทำขณะปัจจุบันให้ดีที่สุด เมื่อขณะปัจจุบันดีที่สุดอนาคตของเราจะมั่นคงตามภาวะของปัจจุบันนั้นเอง อย่าผลัดวันประกันพรุ่งในสิ่งที่อยากทำ สิ่งที่เป็นสิ่งที่ดีงาม ในสิ่งที่เป็นมงคล อยากจะกราบแม่เข้าไปกราบเสีย อยากจะกอดแม่เข้าไปกอดเสีย ลูกบางคนห่างเหินกับพ่อแม่ ไม่เคยไม่คุ้น เขิน อาตมาสอนลูกบางคนที่โกรธพ่อแม่ไม่พูดกันเป็นปีว่า ให้ไปกราบขอโทษเขาเสีย ไปพูดคุยกันเสีย "ทำไม่ได้หลวงแม่มันเขินไม่เคยทำ" ก็อย่างเก่งก็เวลาจะลา "ไปแล้วนะ" ไม่เคยที่จะเข้าไปแม้กระทั่งกราบพ่อแม่ คุณโยมความสัมพันธ์ของเราเหล่านี้ อาตมาอยากจะเตือนว่า เราอาจจะจากกันวันนี้นะ เพราะฉะนั้นสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีงามในความสัมพันธ์ของเรากับคนรอบตัวเรา ให้ย้อนกลับไปพิจารณาแล้ว ทำเสียรีบทำเสีย สิ่งใดเป็นสิ่งที่อยากทำ รีบทำเสีย คุณโยมจะได้ไม่เสียใจว่าอยากจะบอกกับเขาอย่างนั้นๆ ไม่ได้บอก มาบอกเอาตอนที่เขาตายแล้ว แล้วมันจะไปได้เรื่องอะไร เมื่อพูดถึงความตาย พูดถึงอายุขัย อายุที่ผ่านไป เรามาตั้งสติกันใหม่กับอายุที่เหลือ อายุที่ผ่านไปช่างเถอะมันเละเทะ มันไม่ได้เรื่อง มันไม่เอาจริงเอาจัง เมื่อเราได้คิดแล้ว เมื่อเราได้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เตือนสติเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เราตั้งสติใหม่ ตั้งใจใหม่ว่า จะทำชีวิตที่เหลือเป็นชีวิตที่มีความหมาย เป็นชีวิตที่มีความหมายกับตัวเราเอง และมีความหมายต่อเพื่อนๆ ความหมายต่อคนรอบข้าง ทำชีวิตของเราให้เป็นชีวิตที่งดงาม งดงามต่อดอกไม้ในสวน งดงามต่อต้นไม้ใบหญ้า งดงามกับบรรยากาศรอบข้างตัวเรา งดงามกับคนที่เราอยู่ด้วย ในขณะที่เราทำสมาธิ พิจารณาสมาธิลมหายใจเข้าออก เราเตือนสติตัวเราด้วยว่า ลมหายใจนี้ หากมันเข้าแล้วไม่มีออกก็คือความตาย ในทางกลับกัน ออกไม่มีเข้ามันก็ตาย เหมือนกัน เมื่อเราอยู่ขณะปัจจุบัน อยู่ให้เต็มร้อย คุณโยมเวลานี้คุณโยมอยู่กับอาตมา เวลาที่คุณโยมจะไปฟังเทศน์ไม่ได้มีได้ง่าย ไม่ได้มีได้บ่อยๆ เพราะฉะนั้นตั้งใจ ตักตวง เก็บเกี่ยวสิ่งที่ดีงามที่อาตมาพยายามมอบให้ สิ่งที่อาตมาเป็นสื่อกลางนำคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามามอบให้พวกคุณโยม ตักตวงให้เต็มที่เพื่อนำไปปฏิบัติ เพื่อนำไปเป็นประทีปส่องทางชีวิต เมื่อเราปฏิบัติเมื่อเราศึกษา เราจะพบว่าชีวิตในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ เป็นสิ่งที่น่ายินดี เพราะว่าไม่มีอะไรอื่นในชีวิตนี้ที่จะประเสริฐเท่ากับคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เต็มที่ในการปฏิบัติของเรา เราก็จะตวงเอาประโยชน์สูงสุดจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากคำสอนของพระองค์ท่าน น้อมนำไปสู่การปฏิบัติจิตทุกขณะจิต ระลึกอยู่เสมอว่าอายุขัยคืออายุที่หมดไป เตือนสติตัวเองว่าบัดนี้เราทำอะไรอยู่ คุณโยมจะมีศรัทธากับชีวิตมากขึ้น ไม่ใช่พอสอนเรื่องความตายก็เลยแบมือแบเท้า ปล่อยวางไปหมด สอนเรื่องความตาย เตือนให้เรารู้ว่า ความตายอาจจะมาถึงเมื่อไหร่ก็ได้นะ ขณะเดียวกันให้เราฝึกปฏิบัติของการเจริญชีวิต เพื่อทำชีวิตที่เหลืออยู่ให้เป็นชีวิตที่มีความหมาย มีทิศทาง สมกับที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มีศรัทธาฝากฝังพระศาสนาเอาไว้ในมือของเรา ขอเจริญพรค่ะ |
กลับหน้า คำสอน |
|
วัตรทรงธรรมกัลยาณี
เลขที่ 195 ถนนเพชรเกษม
ต. พระประโทน
อ. เมืองฯ จ. นครปฐม
73000 |