ตามตำนานของนิกายเซ็นที่ไปเผยแผ่ที่ประเทศจีน เล่ากันว่า เมื่อพระโพธิธรรม (ตักม้อ) เดินทางจากอินเดียไปประเทศจีนนั้น มีชาวจีนสนใจมาศึกษาธรรมกับท่านเป็นจำนวนมาก แต่ท่านกลับไม่ไยดี หันหน้าเข้าฝาผนัง ทำสมาธิอย่างเดียว กระทาชายนายหนึ่ง แสดงความจริงใจในการที่จะเรียนรู้ธรรมจากท่าน ถึงกับตัดแขนตนเองเป็นพุทธบูชา ทำให้ท่านอาจารย์ยอมรับเป็นศิษย์ และเป็นผู้สืบทอดธรรมะจากท่านโพธิธรรมสืบมา
       ในประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในประเทศจีน การเสียสละอวัยวะแขน ขา เลือดเนื้อ จนเเม้ชีวิต เป็นสิ่งที่เล่าขานจนเป็นตำนานสืบมา เมื่อ ค.ศ. ๑๙๖๒ เมื่อพระภิกษุชาวเวียดนามเผาตัวตายเพื่อประท้วงรัฐบาลต่างศาสนาที่กดขี่ชาวพุทธ เป็นสิ่งที่ชาวพุทธในประเทศไทยไม่เข้าใจการปฏิบัติเช่นนั้น และไปติดอยู่กับศีลข้อแรก ที่ห้ามมิให้ทำร้ายชีวิต ทั้งของตนเองและของผู้อื่น แต่เมื่อศึกษาศีลของโพธิสัตต์แล้วจะเข้าใจวิธีคิดของมหายานมากขึ้น ในศีลโพธิสัตต์ข้อหนึ่งระบุว่า ให้ต่อสู้กับอำนาจอธรรม และหากปล่อยให้อธรรมครอบครองถือเป็นการละเมิดศีล ทั้งนี้เพราะบริบทความคิดของมหายานจะเน้นที่สังคมเป็นใหญ่
        ในการรับศีลฆราวาสโพธิสัตต์ที่วัดโฝกวางชาน เมืองเกาซุง ประเทศไต้หวันนั้น ในคืนก่อนที่จะรับศีลจะมีพิธี รานเซียง คือการจี้ธูป
        ท่านผู้อ่านที่นิยมดูหนังจีน จะสังเกตว่าพระจีนจะมี ๓ จุดบนศีรษะ สำหรับผู้รับศีลฆราวาสจะจี้ธูปที่เหนือแขนพับเป็นแถว ๓ จุดเช่นกัน
        ท่านอาจารย์ใหญ่ คือหลวงพ่อซิงหยุน วัย ๗๒ พรรษา อุตส่าห์บินกลับจากไทเปเพื่อแสดงธรรมให้พวกเราในคืนก่อนการทำพิธี เป็นการเตรียมจิตใจของบรรดาผู้ที่จะเข้ารับศีล ซึ่งมีถึง ๑,๕๐๐ คน ให้มีศรัทธาและความมุ่งมั่นพร้อมในการที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตมาเข้าสู่เส้นทางของโพธิสัตต์ มั่นในการปฏิบัติธรรมและเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น
        ท่านเล่าว่าเมื่อท่านเข้ามาบวชตั้งแต่เล็ก หลวงพ่อของท่านเป็นผู้ทำพิธีจี้ธูปให้ และบอกว่า เพื่อให้แน่ใจว่าจะอยู่เป็นพระตลอดไป แทนที่จะจี้ธูปแถวเดียว ๓ จุด ท่านวางธูปให้ถึง ๔ แถว รวม ๑๒ จุด เต็มศีรษะทีเดียว มิหนำซ้ำยังเป่าให้ไฟที่จุดธูปแดงวาบจะได้ไหม้เร็วยิ่งขึ้น พวกเราฟังแล้วก็พากันหัวเราะด้วยความขบขัน แต่ขณะนั้น หลวงพ่อเองคงร้อง
"ไอ้หยา!!"
        ในคืนที่ทำพิธีนั้น พวกเราไปสวดมนต์อยู่ที่ลานโบสถ์ ในการสวดมนต์แบบจีนนั้น พวกเราจะยืนสวด แล้วก้มลงกราบ ตามจังหวะที่มีพระผู้กำกับพิธีเป็นคนตีระฆังเล็กๆ ให้จังหวะ เราสวดมนต์ตั้งแต่ ๒ ทุ่มจนถึง ๓ ทุ่ม จากนั้นจึงค่อยๆ ทยอยกันเข้าแถวขึ้นไปบนโบสถ์ไปทำพิธี
        กว่าจะถึงกลุ่มของเราก็เข้าไป ๔ ทุ่มแล้ว พระภิกษุณีที่ทำหน้าที่หัวหน้ากลุ่มให้สัญญาณให้เราเดินแถวขึ้นไปทางด้านข้างของพระอุโบสถ
        แต่ละคนจะต้องกรอกใบรับรองตัวเอง และพิมพ์ลายมือไว้เป็นหลักฐาน ว่าหากเกิดอะไรขึ้นจะรับผิดชอบเอง และตนเองมีศรัทธาที่จะเข้ารับพิธีโดยไม่มีผู้อื่นบังคับ พวกที่มีโรคประจำ เช่น เบาหวาน ห้ามมิให้เข้ารับพิธีนี้ เพราะเป็นแผลแล้วหายยากมาก
        จากนั้น เราเข้าไปคุกเข่าอยู่ที่โต๊ะเล็กตรงทางเข้าพระอุโบสถ ภิกษุณีอีกรูปหนึ่ง ใช้ตรายางเป็นรูปวงกลมเล็กๆ ประทับเป็นรอยเล็กๆ ๓ จุดตรงเหนือข้อพับ เป็นแถวเรียงกัน เพื่อให้สะดวกในการหาตำแหน่งวางธูปที่จะเผา
        จากนั้น เราจึงเดินเข้าไปในโบสถ์ มีผู้เข้ารับการจี้ธูปอยู่เต็มทั้งทางด้านซ้ายและขวา ภิกษุณีรูปหนึ่งชี้ให้ข้าพเจ้าไปทางขวามือ มีเก้าอี้บุนวมเตี้ยๆ หลายแถว แถวละ ๓ ตัว เราคุกเข่าบนเก้าอี้นี้ โดยเริ่มจากตัวหลังสุด และค่อยๆ เลื่อนขึ้นไปข้างหน้าเมื่อมีที่ว่าง
         ข้าพเจ้าใช้สายตากวาดไปรอบโบสถ์ พระประธานแบบจีนขนาดใหญ่มาก ๓ องค์ องค์กลางคือพระศากยมุนีพุทธเจ้า ขนาบด้วยพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ที่คนไทยเรียกง่ายๆ ว่าหมอยา พระพุทธรูปที่เรารู้จักก็คือพระกริ่ง ที่นิยมนำมาแช่น้ำเสกแก้โรคภัยไข้เจ็บนั่นเอง อีกองค์หนึ่ง คือพระอมิตาภพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าแห่งดินแดนสุขาวดี ตามฝาผนังเจาะเป็นซอกเล็กๆ ประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดเล็กนับเป็นหมื่นองค์กระมัง ทั้งนี้เป็นไปตามมโตคติของมหายานในเรื่องพระพุทธเจ้าจำนวนมากมายนั่นเอง
          ภิกษุณีสาวๆ ที่เป็นพี่เลี้ยงกลุ่มให้เรานั้น บัดนี้ มาทำหน้าที่เป็นพระอาจารย์จี้ธูปให้เรา ท่านนั่งอยู่เป็นแถว มีโต๊ะเตี้ยๆ อยู่เบื้องหน้า ถ้านับทั้งสองฝั่งของโบสถ์แล้ว น่าจะมีประมาณ ๕๐ รูป
          ข้าพเจ้ามองไปจากแถวที่ข้าพเจ้ารอจะจี้ธูปนั้น เห็นหลวงพี่ภิกษุณีหมั่นจงซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มของข้าพเจ้ากำลังจี้ธูปอยู่อีกแถวหนึ่ง ข้าพเจ้านึกในใจว่าจะย้ายแถวไปให้ตรงกับท่าน จะได้ให้ท่านเป็นผู้จี้ธูปให้
           เมื่อจับความคิดของตนได้ ก็รู้เท่าทันว่า ยังยึดติดอยู่กับ
"ตัวกู ของกู" ยังมีฉันทาคติ ลำเอียงเพราะความรัก ความพอใจ เพราะเป็นหัวหน้ากลุ่มของเรานั่นเอง การจี้ธูปนั้น ชาวจีนอธิบายว่า เป็นการถวานตัวแทนธูป จุดเพื่อถวายสักการะพระพุทธองค์ เมื่อเราตั้งใจถวายตัวกับพระพุทธเจ้าแล้ว อยู่ในมือของพระภิกษุณีรูปใดก็เท่ากัน เหมือนกันทั้งนั้น คิดได้เช่นนั้น ก็รออยู่ในแถวของตนต่อไป
          ภายในโบสถ์มีแต่เสียงสวด
"นะ โม เป็น ซือ ซือ จา โม นี โฟ" (นโมศากยะมุนีพุทธะ) ทั้งภิกษุณีผู้เป็นคนจี้ธูปและฆราวาสที่เข้าไปรับการจี้ธูปบรรยากาศขลังทีเดียว เป็นบรรยากาศของการรอคอยที่เปี่ยมด้วยความหมาย
          ครั้นคนที่รับการจี้ธูปเบื้องหน้าข้าพเจ้าลุกไปแล้ว ข้าพเจ้าก็ก้าวเข้าไปคุกเข่าที่เก้าอี้เตี้ยๆ ที่อยู่เบื้องหน้าพระภิกษุณี โดยยื่นแขนซ้ายเข้าไปให้ท่าน ข้าพเจ้าทำขยุกขยิกเล็กน้อย ด้วยเกรงว่า จะคุกเข่าทับหมั่นอี้ คือจีวรที่ครองอยู่ ท่านอาจารย์จับแขนของข้าพเจ้าให้อยู่นิ่งๆ ด้วยเข้าใจว่าข้าพเจ้ากลัว
          ท่านหยิบธูปเป็นรูปกรวยทรงสูง อันเล็กๆ ๓ อัน วางตรงต้นแขนพับทีมีรอยทำเครื่องหมายไว้ล่วงหน้า แล้วใช้ธูปจุดไฟจากเทียน แล้วจุดที่ยอดกรวยของธูปที่วางอยู่ บนแขนของข้าพเจ้า ธูปไหม้ลงใกล้เนื้อเท่าใด ก็รู้สึกถึงความปวดเท่านั้น
          เราสวดมนต์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ข้าพเจ้าสวดมนต์เพื่อให้มีกำลังใจที่จะทนต่อความเจ็บปวด ส่วนท่านก็สวดมนต์เพื่อเอาใจช่วยให้ข้าพเจ้าสามารถอดทนต่อความเจ็บปวดได้
          ข้าพเจ้าสนใจกับความคิดของตนเองว่าคิดอะไรอยู่ ขณะนั้นคิดอยู่อย่างเดียว อยากรู้ว่าร้อนที่สุดเป็นอย่างไร และตัวเองจะทนได้ไหม ท่านภิกษุณีใช้คีมเล็กๆ หยิบเปลือกแตงโมที่ฝานบางๆ วางรอบบริเวณที่วางธูปไว้ เมื่อธูปไหม้ถึงเนื้อ รู้สึกปวดทีเดียว ท่านก็คีบธูปออกไป
          เป็นอันเสร็จพิธี
          แค่นี้เองหรือ?
          ข้าพเจ้ายังอดสงสัยไม่ได้
          ความคิดที่น่ากลัวในการจี้ธูปดูจะมากมายกว่าความเป็นจริงไปหลายเท่าตัว
          หลายๆคนเมื่อจี้ธูปแล้ว ก็จะไปคำนับพระประธาน แล้ววางอั้งเปาทำบุญ 
          เด็กสาวๆ นักเรียนจากวิทยาลัยพุทธศาสนาของวัดโฝกวางชาน มาเป็นอาสาสมัครอยู่ในพิธี เชิญพวกเราไปด้านหลังของโบสถ์เพื่อรับประทานแตงโม
          ด้วยความร้อน ความกลัว ความกังวล หรืออะไรก็ตามที พวกเราที่ออกมาจากพิธีมีเหงื่อเม็ดโป้ง เกาะเต็มหน้ากันทุกคน เสื้อคลุมสีดำที่เรียกว่า ไห่ซิง ที่เราใส่เข้าพิธีนั้น เปียกโชกชนิดที่ถอดออกมาบิดได้ทีเดียว
           แตงโมหนึ่งถ้วยหมดไปโดยไม่รู้ตัว มิหนำซ้ำยังเติมได้อีกด้วย
           พวกที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน เมื่อออกมาเจอกันต่างกล่าวว่า
"กงสีๆ" (ขอแสดงความยินดี)
           เราเดินอ้อมพระอุโบสถกลับมารอพรรคพวกที่คุกเข่าอยู่ที่ลานโบสถ์ต่อไป (๑๕๐๐ คนนะที่เข้าพิธี)
           กว่าพิธีจะเสร็จเข้าไปเที่ยงคืน พอจังหวะระฆังที่กราบครั้งสุดท้าย เราก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก พวกเรากระวีดกระวาดเดินแถวเรียงสองตามพระภิกษุณีที่เป็นพี่เลี้ยงกลุ่มกลับไปยังที่พัก
           ชาวต่างประเทศที่ต้องอาศัยการบวชภิกษุณีของไต้หวัน ส่วนมากจะไม่เข้าพิธีนี้ เพราะถือว่ามิใช่เรื่องของพุทธ แต่เป็นวัฒนธรรมจีน ดังนั้น บรรดาผู้หญิงจีนในกลุ่มของข้าพเจ้าแสดงความยินดีอย่างออกหน้า เมื่อเห็นข้าพเจ้าเข้าร่วมพิธีกับพวกเขา ข้าพเจ้าเป็นคนนอกมาตลอดสี่วัน คืนนั้นเองที่พวกเขายอมรับข้าพเจ้า บางคนถึงกับถอดลูกประคำของตนเองมาให้ เพื่อให้ข้าพเจ้าเอาไว้
"เนี่ยนโฟ" สวดมนต์ถึงพระพุทธเจ้า ประสบการณ์ในการเผชิญความทุกข์ยากร่วมกันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการยอมรับในกลุ่มได้ง่ายขึ้น
           พรุ่งนี้แล้วซินะ ที่เราจะได้รับศีลโพธิสัตต์ แต่เราจะดำเนินชีวิตตามแนวโพธิสัตต์ได้แค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับความตั้งใจมั่นของเราแต่ละคน
กลับหน้า   คำสอน

 วัตรทรงธรรมกัลยาณี เลขที่ 195 ถนนเพชรเกษม ต. พระประโทน อ. เมืองฯ จ. นครปฐม 73000
โทร. (034) 258-270 โทรสาร (034) 284-315   E- mail : [email protected]
Copyright (c) 2002-2003 Thaibhikkhunis.org  All rights reserved.