ภิกษุณีไทยในสายตาเพื่อนบ้านมองเพื่อนบ้าน/เพื่อนบ้านมองไทยฉบับนี้ ถือโอกาสที่มีคณะภิกษุณีสงฆ์จากประเทศเพื่อนบ้านมาจำพรรษาที่วัตรทรงธรรมกัลยาณีเรียนสนทนากับท่านเหล่านี้ ถึงทัศนะต่อสถานการณ์ภิกษุณีในประเทศไทยเปรียบเทียบกับประ-เทศของท่าน 
            เริ่มจากศรีลังกา ซึ่งมีประ-วัติศาสตร์ภิกษุณีสงฆ์ที่เก่าแก่ย้อนไปถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชที่ได้ทรงส่งพระนางสังฆมิตตาเถรีพระธิดา เดินทางรอนแรมจากอินเดียไปประดิษฐานภิกษุณีสงฆ์ถึงเกาะลังกา ปัจจุบันศรีลังกากลายเป็นประเทศแนวหน้าในการฟื้นฟูภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายเถรวาท การฟื้นฟูปรากฏเป็นรูปเป็นร่างจริงจังเมื่อ พ.ศ. 2539 จนถึงวันนี้ ภิกษุณีสงฆ์แห่งเกาะลังกาได้หยั่งรากมั่นคง พร้อมที่จะแตกกิ่งก้านสาขาออกไปทั้งในและนอกประเทศ จำนวนผู้หญิงศรีลังกาที่เข้ารับการอุปสมบทเป็นภิกษุณีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนถึงราว 400 รูปทั่วประเทศแล้วในขณะนี้ 
           
ท่านสัทธาสุมนา ภิกษุณีจากศรีลังกา ผู้ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้สอนพระวินัยแก่คณะภิกษุณีที่มาจำพรรษาในครั้งนี้ กล่าวว่าความพยายามก่อตั้งภิกษุณีสงฆ์ประเทศไทยมีจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะได้ผู้บุกเบิกที่มีความรู้ความสามารถ มีความกล้าหาญ และตั้งใจมั่น อย่าง ท่านธัมมนันทา ภิกษุณี
           
"การก่อตั้งภิกษุณีสงฆ์ของประเทศไทยเป็นไปได้ แต่อาจต้องใช้เวลา เพราะลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ไทยมีความซับซ้อนกว่าเมื่อเทียบกับศรีลังกา" 
           
ท่านสุทินนา ภิกษุณีชาวศรีลังกาอีกรูปหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า ความแตกต่างอีกประการหนึ่งระหว่างไทยและศรีลังกา คือ การที่ประเทศไทยไม่เคยมีภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายเถรวาทมาก่อน จึงไม่มีประวัติศาสตร์บุคคลของประเทศที่จะอ้างอิงได้ ขณะที่ศรีลังกาในอดีตนั้นมีภิกษุณีสงฆ์เคียงคู่มากับภิกษุสงฆ์ มีภิกษุณีซึ่งเป็นที่รู้จักในประวัติศาสตร์ จนถึงยุคหนึ่งภิกษุและภิกษุณีสงฆ์หมดไปจากเกาะลังกาพร้อมๆ กัน ภิกษุสงฆ์ลังกาเองก็ได้รับการสถาปนาขึ้นใหม่โดยการไปสืบทอดพระศาสนาจากไทยและพม่าถึงสองครั้งสองครา แต่ไม่ได้มีการฟื้นฟูภิกษุณีสงฆ์ ดังนั้น การฟื้นฟูภิกษุณีสงฆ์ศรีลังกาในยุคปัจจุบันจึงเท่ากับเป็นการสานต่อประวัติศาสตร์ที่ขาดหายไป 
                ในส่วนของฆราวาสนั้น ท่านสัทธาสุมนาเห็นว่าฆราวาสชาวไทยให้การต้อนรับภิกษุณีนานาชาติคณะนี้เป็นอย่างดี สังเกตจากการที่ชาวชุมชนใกล้วัตรมีความกระตือรือร้นในการใส่บาตรพระภิกษุณีในทุกวันพระและวันอาทิตย์ และมีผู้ที่มาทำบุญและฟังธรรมที่วัดในวันอาทิตย์อย่างสม่ำเสมอ 
            ในเรื่องนี้
ท่านธัมมนันที ภิกษุณีชาวเวียดนามที่ได้ไปใช้ชีวิตเล่าเรียนฝึกฝนทั้งในฝ่ายปริยัติและปฏิบัติอยู่ที่ประเทศพม่าเป็นเวลานานถึงสิบปี ก็มีความประ-ทับใจเช่นเดียวกัน 
           
"เมื่อเปรียบเทียบระหว่างช่วงต้นพรรษาที่ผ่านมากับขณะนี้ (กว่าสองเดือนในพรรษา) อาตมารู้สึกได้ถึงการตอบรับของชาวบ้านที่แตกต่างไป มีคนหน้าใหม่ๆ มาใส่บาตรเพิ่มมากขึ้น ทำให้รู้สึกว่าชาวบ้านเริ่มยอมรับภิกษุณี และแม้แต่พระภิกษุชาวไทย เท่าที่มีโอกาสได้มีปฏิสัมพันธ์ด้วย ท่านก็ให้การยอมรับและปฏิบัติต่อภิกษุณีด้วยความเมตตา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยเวลา.... 
              ตัวอาตมาเองมีความประทับใจในหลายๆ เรื่องในขณะที่อยู่เมืองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกบิณฑบาต เมื่อครั้งที่อาตมาเป็นแม่ชีอยู่ที่ประเทศพม่านั้น เราออกบิณฑบาตกันสัปดาห์ละสองครั้ง เป็นการบิณฑบาตข้าวสาร แต่การได้ออกเดินบิณฑบาตด้วยเท้าเปล่าไปในชุมชนกับหมู่ภิกษุณีที่นี่ ยิ่งเตือนให้อาตมาน้อมรำลึกถึงวิถีชีวิตของเหล่าภิกษุและภิกษุณีในสมัยพุทธกาล"
            สำหรับสถานการณ์ภิกษุณีฝ่ายเถรวาทในประเทศเวียดนามนั้น ท่านธัมมนันทีกล่าวว่ายังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ชาวพุทธในเวียดนามส่วนใหญ่นับถือนิกายมหายาน และมีภิกษุณีฝ่ายมหายานสืบทอดมาไม่ขาดสาย ส่วนชาวพุทธเถรวาทมีเพียงส่วนน้อย แต่ก็มีผู้หญิงชาวพุทธฝ่ายเถรวาทที่ใส่ใจในการศึกษาและปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง และบวชเป็นแม่ชีอยู่ก่อนแล้ว     
           จนเมื่อข่าวการฟื้นฟูภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายเถรวาทแพร่ไปถึงเวียดนามและพม่า ท่านธัมมนันทีจึงได้ขออนุญาตจากอาจารย์ของท่าน ซึ่งเป็นพระภิกษุอาวุโสชาวเวียดนาม เพื่อเข้าการอุปสมบท และก็ได้รับการสนับสนุนจากท่านอาจารย์เป็นอย่างดี ขณะนี้มีแม่ชีชาวเวียดนามเข้ารับการอุปสมบทเป็นภิกษุณีฝ่ายเถรวาทแล้ว 4 รูป ส่วนในพม่า ก็เริ่มมีแม่ชีหรือที่ภาษาพม่าเรียกว่า
"ธีลาชีน" เข้ารับการอุปสมบทเป็นภิกษุณีบ้างแล้ว แม้จะยังมีจำนวนน้อยและการตอบรับจากคณะสงฆ์ทั้งในเวียดนามและพม่ายังไม่มากเท่าที่ควรก็ตาม 
            กิ่งก้านสาขาของภิกษุณีสงฆ์ในยุคฟื้นฟูนี้ ยังได้แผ่ขยายไปจนถึงดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างอินโดนีเซียอีกด้วย 
           
ท่านสันตินี ภิกษุณีชาวอินโดนีเซียเชื้อสายจีน เล่าว่า ชาวพุทธในอินโดนีเซียนั้นมีสัดส่วนเพียงร้อยละหนึ่งของประชากรทั้งหมด และส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธมหายานที่มีวิถีปฏิบัติที่ผสมผสานไปกับประเพณีแบบจีน และเช่นเดียวกับเวียดนาม ชาวพุทธเถรวาทมีอยู่เพียงจำนวนน้อย แม้กระนั้นในขณะนี้ก็ได้มีผู้หญิงชาวอินโดนีเซียที่ได้รับการบวชเป็นภิกษุณีฝ่ายเถรวาทแล้ว 3 รูป พร้อมกับอนาคาริกา ซึ่งปลงผม อยู่วัด สวมชุดสีเหลืองอ่อน อีกจำนวนหนึ่ง ทำหน้าที่เผยแผ่ธรรมะและสอนการปฏิบัติภาวนาให้แก่ชุมชนชาวพุทธเถรวาทในอินโดนีเซียรวมทั้งผู้นับถือศาสนาอื่นที่สนใจด้วย 
            ท่านสันตินีกล่าวว่า โดยทั่วไปแล้วสถานการณ์ภิกษุณีในประเทศอินโดนีเซียและไทยไม่แตกต่างกันมากนัก กล่าวคือยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ยังมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ในส่วนของผู้ที่เห็นด้วยทั้งหญิงและชาย ทั้งฆราวาสและพระสงฆ์ ก็ได้ให้การเกื้อกูลแก่สังฆะที่เกิดใหม่นี้อย่างอบอุ่น และรัฐบาลอินโดนีเซียยังให้การสนับสนุนด้านสวัสดิการแก่ภิกษุณีฝ่ายเถรวาทอย่างเท่าเทียม เช่นเดียวกับที่ปฏิบัติต่อภิกษุเถรวาทและภิกษุและภิกษุณีฝ่ายมหายาน 
            ใ
นระหว่างพรรษานี้ คณะภิกษุณีนานาชาติที่มาร่วมกันจำพรรษาที่วัตรทรงธรรมฯ ได้มีโอกาสศึกษาเกี่ยวกับพระภิกษุณีวินัย การประกอบสังฆกรรมต่างๆ และความรู้อื่นที่จำเป็น เป็นการวางรากฐานสำหรับการสร้างชุมชนนักบวชหญิงฝ่ายเถรวาท ที่แม้จะต่างชาติต่างภาษา แต่ก็มีเป้าหมายหลักร่วมกันที่การน้อมกายน้อมใจ ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ พร้อมๆ กับการเกื้อกูลต่อคนในสังคมโดยเฉพาะผู้หญิง ให้ได้มีโอกาสศึกษาและเข้าถึงพระพุทธธรรมได้ดียิ่งขึ้น....
กลับหน้า   ข่าวล่า

 วัตรทรงธรรมกัลยาณี เลขที่ 195 ถนนเพชรเกษม ต. พระประโทน อ. เมืองฯ จ. นครปฐม 73000
โทร. (034) 258-270 โทรสาร (034) 284-315   E- mail : [email protected]
Copyright (c) 2002-2003 Thaibhikkhunis.org  All rights reserved.