2.1 ปฐมภิกษุณีในพระพุทธศาสนา สตรีคนแรกที่อุปสมบทเป็นภิกษุณีในพระพุทธศาสนา คือ พระนางมหาปชาบดีโคตมีผู้เป็นพระมาตุจฉาของพระพุทธเจ้า ซึ่งได้ให้การอุปการะเลี้ยงดูเจ้าชายสิทธัตถะหลังจากที่พระนางสิริมหามายาสวรรคตแล้ว กาลต่อมาเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวชและได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว อีกห้าพรรษาต่อมาได้เสด็จมาสู่กรุงกบิลพัสดุ์ตามคำทูลเชิญของพระพุทธบิดาเพื่อโปรดพระประยูรญาติต่อมาพระประยูรญาติหลายองค์ได้ออกบวชตามพระพุทธองค์ หลังจากพระเจ้าสุทโธทนะเสด็จสวรรคต พระนางปชาบดีโคตมีทรงเศร้าโศกเสียพระทัยเป็นอันมาก เพราะการสูญเสียพระราชสวามีก็เหมือนกับการสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ประกอบกับพระชนม์ชีพของพระองค์ก็เข้าสู่ปัจฉิมวัย จึงทรงมองไม่เห็นที่พึ่งอื่นใดของชีวิต นอกจากพระพุทธศาสนาด้วยการบวชอุทิศพระองค์ในธรรมวินัยนี้เช่นเดียวกับบุรุษ แต่ ติดขัดที่ยังไม่เคยมีสตรีบวชในพุทธศาสนาเลย พระนางจึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ ณ นิโครธารามในกรุงกบิลพัสดุ์พร้อมด้วยพวกนางสากิยานีและนางโกลิยานีทั้งหลายเพื่อทูลขออุปสมบท แต่ก็ได้รับการปฏิเสธถึง 3 ครั้ง จนในที่สุดพระอานนท์ได้กราบทูลขอการอุปสมบทให้แก่สตรีเหล่านี้ ซึ่งพระอานนท์กราบทูลรบเร้าอยู่ถึง 3 ครั้ง แต่ก็ได้รับการปฏิเสธเช่นเดียวกัน พระอานนท์จึงได้กราบทูลถามว่า สตรีสามารถจะบรรลุธรรมได้หรือไม่ พระพุทธองค์ทรงตอบว่า ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีที่ปฎิบัติตามพระธรรมคำสอนย่อมสามารถบรรลุธรรมได้เสมอกัน จากนั้นได้มีการบวชให้พระแม่น้านางและสตรีต่อมา 2.2 วิธีการบวชภิกษุณีในสมัยพุทธกาล 2.2.1 ครุธรรมปฏิคคหณอุปสัมปทา โดยการรับ ครุธรรม 8 [2] เป็นการบวชภิกษุณีองค์แรก โดยพระพุทธองค์ประทานพุทธานุญาตให้พระแม่น้านางมหาปชาบดีโคตมีบวช(พระไตรปิฎก เล่มที่ 7 หน้า 316 - 319) 2.2.2 ญัตติจตุตถกรรมอุปสัมปทา เป็นวิธีการบวชที่พระพุทธเจ้าทรงมอบหมายให้พระภิกษุสงฆ์เป็นผู้บวช ในครั้งที่พระแม่น้านาง ฯ ทูลขอบวชนั้นปรากฏว่ามีพวกนางสากิยานีและนางโกลิยานี ซึ่งเป็นข้าราชบริพารของพระนางปชาบดีโคตมี จำนวน 500 นาง ได้แสดงความประสงค์ขอออกบวชด้วย พระพุทธองค์จึงทรงมอบหมายให้พระภิกษุสงฆ์เป็นผู้บวชให้ (พระไตรปิฎก เล่มที่ 7 หน้า 321)
2.2.3 เอหิภิกขุนีอุปสัมปทา
พระพุทธองค์บวชให้ด้วยพระองค์เอง
เช่น ภิกษุณีภัททากุณฑลเกสา
( พระไตรปิฎกภาษาไทย
เล่มที่ 26 หน้า 573
จุลวรรค 109) 2.2.5 ทูเตนอุปสัมปทา พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้มีการบวชโดยผ่านทูต เนื่องจากมีหญิงนางหนึ่งชื่ออัฒฑกาสีได้ขออุปสมบทจากภิกษุณีสงฆ์เรียบร้อยแล้ว และต้องเดินทางไปขออุปสมบทจากภิกษุสงฆ์ในอีกหมู่บ้านหนึ่ง ระหว่างทางได้ทราบว่ามีผู้ปองร้ายดักจับกุมตัวนาง พระพุทธองค์จึงทรงอนุญาตให้ภิกษุณีสงฆ์ส่งฑูตไปขอรับอุปสมบทจากภิกษุสงฆ์ โดยแจ้งชื่อและรายละเอียดของภิกษุณี ที่ได้รับการบวชให้เหล่าภิกษุสงฆ์ทราบ เมื่อภิกษุสงฆ์กล่าวรับ วิธีนี้ก็ถือว่าเป็นการบวชโดยสมบูรณ์ (พระไตรปิฎก เล่มที่ 7 หน้า 359 360) รูปแบบการบวชในวิธีในข้อ 2.2.1 , 2.2.3 และ 2.2.5 นั้น ไม่มีแล้ว ส่วนอีก 2 ข้อ เป็นรูปแบบที่ถือปฏิบัติ ในปัจจุบันคือ ข้อ 2.2.2 การบวชโดยสงฆ์ฝ่ายเดียว มีในประเทศจีนบางวัด และข้อ 2.2.4 การบวชโดยสงฆ์สองฝ่าย มีในประเทศเกาหลีใต้ ไต้หวันและศรีลังกา 2.3 สิกขาบทของภิกษุณี สิกขาบท [4] หมายถึง วินัยหรือข้อห้ามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้เพื่อเป็นหลักในการปกครองภิกษุณี ทั้งนี้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของหมู่สงฆ์ เพื่อป้องกันสิ่งมัวหมองอันจะเกิดขึ้นแก่พุทธศาสนา เพื่อจูงใจคนที่ยังไม่เลื่อมใสให้เกิดความเลื่อมใสเพื่อให้ผู้ที่เลื่อมใสแล้วได้เลื่อมใสยิ่งขึ้น และเพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม สิกขาบทหรือวินัยของภิกษุณีก็เช่นเดียวกับกฎหมายต่าง ๆ ที่ผู้บริหารบัญญัติขึ้นเพื่อปกครองประชาชนในประเทศของตนเช่นทุกวันนี้ สิกขาบทของภิกษุณีนั้นมีมากกว่าสิกขาบทของภิกษุ คือ มีทั้งหมดถึง 311 สิกขาบท ส่วนของภิกษุมีเพียง 227 สิกขาบท มีการกล่าวอ้างว่า การที่พระพุทธองค์กำหนดให้ภิกษุณีต้องถือสิกขาบทมากกว่าภิกษุแสดงให้เห็นว่า พระพุทธองค์ทรงต้องการกีดกันไม่ให้สตรีมาบวช แต่เมื่อวิเคราะห์เนื้อหาทั้งหมดแล้ว พบว่ามีเนื้อหาส่วนใหญ่ตรงกัน แต่มีการจัดหมวดหมู่แตกต่างกันไปบ้าง มีสิกขาบทเพิ่มเติมหรือเป็นสิกขาบทที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันและบางข้อก็เพื่อความปลอดภัยของภิกษุณี บทบัญญัติของภิกษุณี ประกอบด้วย 2 กลุ่ม คือ 1. อสาธารณบัญญัติ [5]หรือ เอกโตบัญญัติมี 130 สิกขาบท ภิกษุสงฆ์ไม่ต้องรักษา 2. สาธารณบัญญัติ[6] หรือ อุภโตบัญญัติ สำหรับภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์พึงรักษามี 181 สิกขาบท |
||||||||||||||||||||||||||||||
จากการเปรียบเทียบพระปาติโมกข์ของพระภิกษุณีสงฆ์ พบว่าถ้านับโดยหมวดแล้ว ภิกษุสงฆ์มีวินัยที่ต้องรักษา 8 หมวด ในขณะที่ภิกษุณีสงฆ์มีเพียง 7 หมวด หมวดที่เพิ่มขึ้นมาคือ หมวดอนิยตนั้น มี 2 ข้อ คือ ห้ามมิให้ภิกษุสงฆ์อยู่ในที่ลับตากับมาตุคามและนั่งในที่ลับหูกับมาตุคามสองต่อสอง ผู้ที่เสนอให้เพิ่มสิกขาบทนี้เป็นหญิง ได้แก่ นางวิสาขา พระพุทธองค์ทรงกำหนดสิกขาบทตามที่นางเสนอเพื่อเป็นมาตรฐานความประพฤติที่เหมาะสมของภิกษุสงฆ์ (แม่ชีกฤษณา รักษาโฉม 2544 : 127) ในหมวดปาราชิก ซึ่งเป็นหมวดที่จัดว่าเป็นอาบัติที่สุด ภิกษุหรือภิกษุณีใดละเมิดสิกขาบทในหมวดนี้ แม้ข้อใดข้อหนึ่งถือว่าขาดจากความเป็นภิกษุหรือภิกษุณีทันทีที่กระทำความผิด สำหรับของภิกษุ มี 4 ข้อ ภิกษุณี มี 8 ข้อ สิกขาบทที่เพิ่มขึ้นมาของภิกษุณีนั้น มีความคล้ายคลึงกับพระภิกษุ แต่ของพระภิกษุกลับถูกจัดอยู่ในหมวดถัดไป คือ สังฆทิเสสซึ่งมีโทษปรับอาบัติน้อยกว่า ทำให้ตั้งข้อสันนิษฐานว่า การจัดหมวดหมู่ของสิกขาบทนั้น ทำขึ้นสมัยหลัง และอาจกระทำโดยพระภิกษุสงฆ์เพียงฝ่ายเดียว ในหมวดปาฏิเทสนียะ ของพระภิกษุณีมีสิกขาบท 8 ข้อ พระภิกษุ ก็มีสิกขาบทนี้เหมือนกันใน เนื้อหา แต่ถูกจัดอยู่ในหมวดปาจิตตีย์ และนับรวมเป็นข้อเดียว เป็นสาเหตุหนึ่งทำให้จำนวนสิกขาบทของภิกษุณีมีมากกว่าพระภิกษุ อีกประการหนึ่ง ในหมวดปาจิตตีย์ ซึ่งเป็นหมวดที่พระภิกษุณีถือสิกขาบท ถึง 166 ข้อ ในขณะที่พระภิกษุมีเพียง 92 ข้อ เป็นสิกขาบทร่วมกันคือ ถือปฏิบัติร่วมกันทั้งสองฝ่าย 70 ข้อ เฉพาะภิกษุ 22 ข้อ เฉพาะภิกษุณี 76 ข้อ ในจำนวนสิกขาบทของภิกษุนี้ มีจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับเกณฑ์การบรรพชาอุปสมบท ซึ่งของพระภิกษุก็ต้องถือปฏิบัติแต่ไม่ได้นับรวมอยู่ในปาติโมกข์ ด้วยเหตุนี้จึง ทำให้ดูเหมือนว่า จำนวนสิกขาบทที่ภิกษุณีสงฆ์ต้องรักษามีมากกว่าพระภิกษุสงฆ์ การบัญญัติพระวินัย พระพุทธองค์ไม่ทรงบัญญัติไว้ล่วงหน้า ทรงบัญญัติเมื่อมีเหตุเกิดขึ้น เมื่อบัญญัติแล้วจะไม่ทรงยกเลิก แต่จะบัญญัติเพิ่มเติมเข้าไปให้รัดกุม และชัดเจนมากขึ้น ข้อความที่ทรงบัญญัติไว้ครั้งแรกเรียก มูลบัญญัติ ที่บัญญัติเพิ่มเติมภายหลังเรียก อนุมูลบัญญัติ รวมมูลบัญญัติและอนุมูลบัญญัติเข้าด้วยกัน เรียก สิกขาบท (สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส, 2517 : 9 10)[7] ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบจำนวนสิกขาบทของภิกษุณีกับของภิกษุแล้ว จะเห็นได้ว่า สิกขาบทของภิกษุณีมากกว่าภิกษุถึง 84 สิกขาบท ซึ่งแสดงให้เห็นความจำเป็นบางอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ สิกขาบท สำหรับบรรพชิตทั้ง 2 ฝ่ายนี้ด้วยเหตุผล ดังนี้
1)
เพื่อความบริสุทธิ์สะอาดในบรรพชิตบริษัท
ทั้งนี้เพราะในบรรดาพุทธสาวกทั้งที่เป็นฝ่ายบรรพชิตและฝ่ายคฤหัสถ์
ฝ่ายแรกจะมีความสำคัญมากที่สุด
เพราะเป็นองค์ประกอบที่ใกล้ชิดกับ
พระพุทธเจ้า
เป็นตัวกลางที่เผยแผ่หลักธรรมคำสอนของพระองค์ไปสู่มหาชนโดยตรง
จึงเป็นกำลังสำคัญอย่างยิ่งในการประกาศศาสนา
พุทธศาสนาจะเจริญหรือเสื่อมขึ้นอยู่กับบริษัทนี้เป็นส่วนใหญ่
พระพุทธเจ้าทรงตระหนักถึงความจริงข้อนี้
จึงทรงมีนโยบายสร้างความบริสุทธิ์สะอาดมากที่สุดให้เกิดมีขึ้นในวงการบรรพชิตสาวก
เพื่อเป็นการปลูกฝังศรัทธา
และความเลื่อมใสในหมู่มหาชนให้หันมายอมรับนับถือ
อุดมการณ์ทางพุทธศาสนา
โดยการทำให้ผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสให้เกิดความเชื่อ
ความเลื่อมใส
และทำให้ผู้ที่เลื่อมใสอยู่แล้ว
มีความเลื่อมใสมากยิ่งขึ้น
เมื่อเกิดภิกษุณีขึ้นในพุทธศาสนายิ่งทำให้พระองค์ทรงระมัดระวังมากยิ่งขึ้น
ดังนั้น
เมื่อสตรีได้อุปสมบทในพระธรรมวินัยจึงทรงออกระเบียบข้อบังคับอย่างละเอียดเพื่อกำชับควบคุมให้อยู่ในกรอบที่ดีงาม
โดยกำหนดโทษหนักเบาตามความเหมาะสมกับความผิด
2)
เพื่อสวัสดิภาพของภิกษุณีเอง
เนื่องจากความแตกต่างโดยธรรมชาติระหว่างสตรีกับบุรุษเพศ
จึงเป็นเหตุผลอีกประการหนึ่งที่ทำให้พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทสำหรับภิกษุณีไว้มากกว่าภิกษุ
เพื่อความปลอดภัยแก่ภิกษุณีเอง
ทั้งนี้เพราะสตรีเป็นเพศที่มีภัยอันตรายจากสังคมอยู่รอบด้านและไม่อาจที่จะช่วยเหลือตนเองได้เมื่อเกิดภัย
เพราะเคยมีตัวอย่างอยู่เสมอที่ภิกษุณีถูกข่มขืนรังแก
เช่น ในครั้งที่ภิกษุณี 2
รูป
เดินทางจากเมืองสาเกตเพื่อจะไปยังพระนครสาวัตถี
เมื่อถึงแม่น้ำแห่งหนึ่งไม่อาจข้ามไปได้เพราะน้ำลึก
จึงขอร้องให้คนช่วยพายเรือข้ามฟาก
เขาตอบว่าไม่อาจจะพาข้ามฟากไปได้ในเรือลำเดียวกัน
2 รูป จึงใช้เรือ 2
ลำ
บุรุษคนแรกเมื่อพายเรือไปถึงฝั่งแล้วได้ใช้กำลังข่มขืนภิกษุณีรูปนั้น
ฝ่ายบุรุษอีกคนหนึ่งก็ได้ทำการข่มขืนภิกษุณีอีกรูปหนึ่งทางฝั่งนี้แล้วจึงพายเรือไปส่ง
เมื่อข้ามฝั่งได้แล้วภิกษุณีทั้งสองจึงบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตนให้กันฟัง
และเมื่อถึงเมืองสาวัตถีจึงเล่าเรื่องให้ภิกษุฟัง
ภิกษุนำความนั้น
กราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบ
พระองค์จึงมีพุทธบัญญัติห้ามภิกษุณีเที่ยวไปตามลำพังผู้เดียวหรือข้ามแม่น้ำตามลำพัง
ส่วนอันตรายในทำนองเดียวกันนี้ไม่เกิดกับภิกษุ
เพราะฉะนั้นสิกขาบทประเภทนี้จึงไม่ทรงบัญญัติไว้สำหรับภิกษุ
3)
สภาวะและการเป็นอยู่ของภิกษุณี
ภิกษุณีเป็นบรรพชิตซึ่งอยู่ในสภาพของผู้ไม่มีเรือน
ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการอาศัยบุคคลอื่น
ทั้งนี้เพราะบรรพชิตในพุทธศาสนาไม่มีการประกอบอาชีพใดๆ
เพื่อเป็นการเลี้ยงชีพอย่างฆราวาสวิสัย
การบริโภคเป็นไปเพื่อยังอัตภาพให้ดำรงอยู่ได้
เพื่อการปฏิบัติธรรมบำเพ็ญเพียรตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นจึงมีสภาพผิดแปลกแตกต่างจากผู้ครองเรือนทั้งหลาย
สำหรับที่อยู่อาศัยของภิกษุณีนั้นในระยะเริ่มแรกอยู่ในลักษณะต่างคนต่างอยู่โดยกระจัดกระจายกันอยู่ทั่วไป
ส่วนมากอยู่ตามป่าที่สงบเงียบ
ห่างไกลจากชุมชนเพื่อความเหมาะสมในการเจริญสมณธรรมเช่นเดียวกับภิกษุ
เพราะฉะนั้น
จึงเป็นอันตรายสำหรับภิกษุณีมาก
เนื่องจากถูกทำร้ายรังแก
เมื่อเกิดเรื่องขึ้น
พวกภิกษุณีจึงเล่าเรื่องให้ภิกษุฟัง
ภิกษุจึงกราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ
พระองค์จึงตรัสว่าภิกษุณีไม่ควรจะอยู่ตามป่า
ในเวลาต่อมาเกิดเรื่องทำนองเดียวกันนี้แก่พระอุบลวัณณาภิกษุณี
คือ ครั้งหนึ่งนางได้เข้าไปสู่ป่าอันธวันเพื่อแสวงหาความวิเวกในการปฏิบัติธรรม
เช้าวันหนึ่งเข้าสู่นครสาวัตถีเพื่อบิณฑบาต
นันทมานพผู้เป็นญาติซึ่งมีความรักใคร่ในตัวเธอตั้งแต่ครั้งที่ยังเป็นฆราวาส
แม้นางจะอุปสมบทเป็นภิกษุณีแล้ว
นันทมานพก็ยังไม่ละความพยายาม
และได้เฝ้าติดตามนางอยู่เสมอจนประสบโอกาสเหมาะสมในวันนั้น
จึงเข้าไปแอบซุ่มอยู่ภายในกระท่อมที่พักของนาง
เมื่ออุบลวัณณาภิกษุณีกลับจากบิณฑบาตเข้าไปในกระท่อม
นันทมานพจึงใช้กำลังลาวงเกิน
ต่อมาความทราบถึงพระพุทธเจ้าทรง
สอบถามจนได้ความจริงแล้ว
จึงทรงตระหนักถึงภัยอันตรายของภิกษุณี
วันหนึ่งได้ตรัสปรารภกับพระเจ้าปเสนทิโกศลให้สร้างที่อยู่อาศัยของภิกษุณีให้เป็นหลักแหล่งแน่นอนในที่ใกล้กับชุมชน
และทรงมีพุทธบัญญัติห้ามภิกษุณีอยู่ป่าตั้งแต่นั้นมา
(พระไตรปิฎก
2539 : เล่ม 7
หน้า 360) 2.4
บทบาทและความสำคัญของภิกษุณีในพระพุทธศาสนานั้น
พอจะกล่าวโดยสังเขป
ดังนี้ 1.
บทบาทในการเผยแผ่พระธรรม
ภิกษุณีขวนขวายในการศึกษาและปฏิบัติธรรมตลอดจนมี
บทบาทในการ
เผยแผ่ธรรมสูงมาก
ภิกษุณีมีโอกาสได้ศึกษาและแสดงธรรมเช่นเดียวกับภิกษุสงฆ์
ภิกษุณีบางรูปมีลูกศิษย์เป็นอำมาตย์เสนาบดี
ชนชั้นสูงและประชาชนทั่วไป
ในพระเถรีคาถากล่าวถึงกรณีภิกษุณีรูปหนึ่งสั่งสอนภิกษุจนบรรลุอรหัตผล
ในพระไตรปิฎกก็ปรากฏหลักฐานที่สนับสนุนความข้อนี้เช่นกัน
เช่นบทบาทของ
พระสารีบุตรเถระเมื่อเปรียบเทียบกับ
พระนางเขมาเถรี
ซึ่งทั้งคู่เป็นอัครสาวกและอัครสาวิกาฝ่ายปัญญา
แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่นั้น
พระเถรผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียง
เช่น สารีบุตร พระโมคคัลลานะ
พระมหากัสสปะ
เคยเทศน์โปรดผู้มีอำนาจทางการเมือง
เช่น พระเจ้าปเสนทิโกศลเลย
แต่พระไตรปิฎกระบุถึงพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ว่า
ได้เข้าไปฟังธรรมจากภิกษุณี
2 รูป
คือพระนางเขมาภิกษุณีและถุลลนันทาภิกษุณี
ภิกษุณีได้พิสูจน์ให้เห็นว่ามีความสามารถทัดเทียมกับพระภิกษุสงฆ์ในฐานะของผู้สืบทอด
และเผยแผ่พระพุทธศาสนา
( เมตฺตานนฺโท
ภิกฺขุ
2545 หน้า 178 - 194
) 2.
บทบาทในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังดินแดนอื่น
เช่น พระนางสังฆมิตตาเถรี
พระธิดาของพระเจ้าอโศกมหาราชได้เดินทางไปบวชให้พระนางอนุฬาเทวีและสตรีอื่น
ๆ ที่ลังกา 3. บทบาทในเรื่อง พระธรรมวินัย ได้แก่ พระปฎาจรารเถรี ดำรงอริยธรรมอันสูงสุด สำเร็จเป็นพระอรหันต์ พระพุทธองค์ได้สรรเสริญ และยกย่องว่าเป็นผู้มีความแตกฉาน ในพระวินัย และทรงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เอตทัคคะ ด้านพระธรรมวินัย ในส่วนของเถรีคาถาได้บันทึกถึงความสำเร็จของภิกษุณี ที่มีความรู้ความสามารถ ไม่ต่ำกว่า 73 รูป (แม่ชีกฤษณา รักษาโฉม 2545 : 34 - 78 หน้า 34 , 78 เมตฺตานนฺโท ภิกฺขุ 2545 163 - 185) 4.บทบาทในเรื่องสังคมสงเคราะห์ หลักฐานในเถรีคาถานั้นได้กล่าวถึงบทบาทของภิกษุณี ที่มีความสามัคคี อยู่รวมกลุ่มเป็นหมู่คณะอย่างใกล้ชิด ขวนขวายในกิจกรรมการเรียนการสอน และความสัมพันธ์ระหว่างพระเถรีผู้ใหญ่กับภิกษุณีผู้น้อย อยู่ในลักษณะของแม่กับลูก นับถือกันอย่างใกล้ชิดเหมือนญาติสนิท (แม่ชีกฤษณา รักษาโฉม พ.ศ. 2545 หน้า 115 เมตฺตานนฺโท ภิกฺขุ หน้า 163 - 170 [2]ครุธรรม 8 เป็นการหลักการ ที่พระพุทธองค์มอบให้ได้อุปสมบทเป็นภิกษุณีของพระแม่น้านางมหาปชาบดีโคตมี [3] เรื่องอันตรายิกธรรมของภิกษุณีสมัยนั้นภิกษุณีทั้งหลายที่อุปสมบทแล้วปรากฏว่าไม่มีเครื่องหมายเพศบ้าง สักแต่ว่ามีเครื่องหมายเพศบ้างไม่มีประจำเดือนบ้าง มีประจำเดือนไม่หยุดบ้าง ใช้ผ้าซับเสมอบ้างเป็นคนไหลซึมบ้าง มีเดือยบ้าง เป็นบัณเฑาะถ์หญิงบ้าง มีลักษณะคล้ายชายบ้าง มีทวารหนักทวารเบาติดกันบ้าง มีสองเพศ (อุภโตพยัญชนก) บ้าง ฯลฯ [4] สิกขาบท หมายถึงข้อที่ต้องรักษา ข้อศีล ข้อวินัย บทบัญญัติข้อหนึ่ง ๆ เช่น ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 และละข้อเรียกว่าสิกขามนา : แม่ชีกฤษณา รักษาโฉม : การศึกษาเชิงวิเคราะห์บทบาทของพระวินัยธรในพระวินัยปิฎก วิทยานิพนธ์ สาขา วิชาพุทธศาสนา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ [5] อสาธารณบัญญัติ ได้แก่ บทบัญญัติที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภภิกษุณีสงฆ์บัญญัติไว้ ซึ่งภิกษุสงฆ์ไม่ต้องรักษาจำนวน 46 สิกขาบท และที่ทรงปรารภภิกษุณีสงฆ์บัญญัติไว้เฉพาะสำหรับภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายเดียว จำนวน 130 สิกขาบท ตามที่แสดงไว้ในพระวินัยปิฎก ภิกษุณีวิภังค์ เล่ม 3 [6] สาธารณบัญญัติ ได้แก่ บทบัญญัติที่พระผู้มีพระภาคทรงปรารถนาภิกษุสงฆ์บัญญัติไว้ เป็นข้อปฎิบัติสำหรับภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ พึงรักษาด้วย จำนวน 174 สิกขาบท ดังที่ แสดงไว้แล้วในพระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ภาค 1 และภาค 2 [7] สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส วินัยมุข เล่ม 1 พิมพ์ครั้งที่ 30 พ.ศ.2517 หน้า 9 - 10 |
||||||||||||||||||||||||||||||
บทที่
1 เหตุผลและความจำเป็นของการศึกษา บทที่ 2 กำเนิดและวิธีการบวชภิกษุณี บทที่ 3 บทที่ 4 บทที่ 5 บทสรุปและข้อเสนอแนะ |
||||||||||||||||||||||||||||||
กลับหน้า ข่าวล่า | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||
วัตรทรงธรรมกัลยาณี
เลขที่ 195 ถนนเพชรเกษม
ต. พระประโทน
อ. เมืองฯ จ. นครปฐม
73000 |