2.1  ปฐมภิกษุณีในพระพุทธศาสนา

         สตรีคนแรกที่อุปสมบทเป็นภิกษุณีในพระพุทธศาสนา คือ พระนางมหาปชาบดีโคตมีผู้เป็นพระมาตุจฉาของพระพุทธเจ้า ซึ่งได้ให้การอุปการะเลี้ยงดูเจ้าชายสิทธัตถะหลังจากที่พระนางสิริมหามายาสวรรคตแล้ว กาลต่อมาเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวชและได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว อีกห้าพรรษาต่อมาได้เสด็จมาสู่กรุงกบิลพัสดุ์ตามคำทูลเชิญของพระพุทธบิดาเพื่อโปรดพระประยูรญาติต่อมาพระประยูรญาติหลายองค์ได้ออกบวชตามพระพุทธองค์ หลังจากพระเจ้าสุทโธทนะเสด็จสวรรคต      พระนางปชาบดีโคตมีทรงเศร้าโศกเสียพระทัยเป็นอันมาก เพราะการสูญเสียพระราชสวามีก็เหมือนกับการสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง   ประกอบกับพระชนม์ชีพของพระองค์ก็เข้าสู่ปัจฉิมวัย จึงทรงมองไม่เห็นที่พึ่งอื่นใดของชีวิต นอกจากพระพุทธศาสนาด้วยการบวชอุทิศพระองค์ในธรรมวินัยนี้เช่นเดียวกับบุรุษ แต่  ติดขัดที่ยังไม่เคยมีสตรีบวชในพุทธศาสนาเลย  พระนางจึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ ณ นิโครธารามในกรุงกบิลพัสดุ์พร้อมด้วยพวกนางสากิยานีและนางโกลิยานีทั้งหลายเพื่อทูลขออุปสมบท แต่ก็ได้รับการปฏิเสธถึง 3 ครั้ง จนในที่สุดพระอานนท์ได้กราบทูลขอการอุปสมบทให้แก่สตรีเหล่านี้ ซึ่งพระอานนท์กราบทูลรบเร้าอยู่ถึง 3 ครั้ง แต่ก็ได้รับการปฏิเสธเช่นเดียวกัน พระอานนท์จึงได้กราบทูลถามว่า สตรีสามารถจะบรรลุธรรมได้หรือไม่  พระพุทธองค์ทรงตอบว่า “ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีที่ปฎิบัติตามพระธรรมคำสอนย่อมสามารถบรรลุธรรมได้เสมอกัน”  จากนั้นได้มีการบวชให้พระแม่น้านางและสตรีต่อมา

2.2  วิธีการบวชภิกษุณีในสมัยพุทธกาล

 
        การบวชภิกษุณีนั้น ผู้ขอบวชจะต้องเป็นเพศหญิงมีอายุครบ
20 ปีบริบูรณ์ ได้รับอนุญาตจากบิดา มารดาหรือสามี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บที่จะเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตในสมณเพศ  การบวชภิกษุณีมี 5 วิธี คือ

         2.2.1  ครุธรรมปฏิคคหณอุปสัมปทา   โดยการรับ ครุธรรม 8 [2]   เป็นการบวชภิกษุณีองค์แรก    โดยพระพุทธองค์ประทานพุทธานุญาตให้พระแม่น้านางมหาปชาบดีโคตมีบวช(พระไตรปิฎก เล่มที่ หน้า 316 - 319)

         2.2.2  ญัตติจตุตถกรรมอุปสัมปทา เป็นวิธีการบวชที่พระพุทธเจ้าทรงมอบหมายให้พระภิกษุสงฆ์เป็นผู้บวช ในครั้งที่พระแม่น้านาง ฯ ทูลขอบวชนั้นปรากฏว่ามีพวกนางสากิยานีและนางโกลิยานี  ซึ่งเป็นข้าราชบริพารของพระนางปชาบดีโคตมี   จำนวน 500  นาง  ได้แสดงความประสงค์ขอออกบวชด้วย     พระพุทธองค์จึงทรงมอบหมายให้พระภิกษุสงฆ์เป็นผู้บวชให้   (พระไตรปิฎก  เล่มที่ 7 หน้า 321)

         2.2.3  เอหิภิกขุนีอุปสัมปทา  พระพุทธองค์บวชให้ด้วยพระองค์เอง  เช่น ภิกษุณีภัททากุณฑลเกสา   ( พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่มที่ 26  หน้า 573 จุลวรรค 109)
        
2.2.4 อัฏฐวาจิกอุปสัมปทา  การบวชโดยสงฆ์  ฝ่าย  เมื่อศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องแล้วสรุปได้ว่าในขั้นตอนผู้หญิงที่ประสงค์บวชจะต้องบวชเป็นสิกขมานา ( คือสามเณรีขั้นเข้มข้นก่อนโดยต้องรักษาอนุธรรมข้ออย่างเคร่งครัดและต่อเนื่องเป็นเวลา  ปี  และจากนั้นจึงจะไปขอบวชเป็นภิกษุณีได้โดยผู้ขอบวชจะต้องมี ปวัตตินี ( ภิกษุณีผู้บวชมาแล้ว  12  พรรษา และต้องผ่านการสอบถาม อันตรายิกธรรม[3]โดยภิกษุณีสงฆ์ เมื่อผ่านการสอบถามอันตรายิกธรรมและได้มีการยอมรับเข้าหมู่ภิกษุณีสงฆ์แล้วจะมี “ภิกษุณีผู้ฉลาด” องค์หนึ่งนำหญิงนั้นไปบวชกับคณะภิกษุสงฆ์  การสอบถามอันตรายิกธรรมโดยภิกษุณีสงฆ์เกิดจากกรณีที่มีหญิงผู้ขอบวชคนหนึ่งเกิดความขวยอายไม่กล้าตอบอันตรายิกธรรมต่อภิกษุสงฆ์ เพราะเป็นคำถามเกี่ยวกับสรีระร่างกาย เมื่อหญิงผู้ขอบวชไม่กล้าตอบจึงเป็นอุปสรรคต่อการขอบวช ดังนั้น พระพุทธองค์จึงกำหนดให้ภิกษุณีสงฆ์ทำหน้าที่ในการสอบถามอันตรายิกธรรม  จากกระบวนการที่ได้กล่าวมาแล้ว  จึงสรุปได้ว่าเป็นการบวชจากสงฆ์ ฝ่ายเดียว  ถ้าไม่มีภิกษุณีสงฆ์  ภิกษุสงฆ์ก็ยังสามารถสอบถามอันตรายิกธรรมได้  และถ้าหญิงผู้ขอบวชไม่ขวยอายที่จะตอบคำถามย่อมผ่านกระบวนการสอบถามอันตรายิกธรรมและเข้าสู่กระบวนการบวชในขั้นต่อไปได้ (อันตรายิกธรรม : ภิกษุณีขันธกะหน้า 346   พระไตรปิฎกเล่ม 7 หน้า 345 – 347)

2.2.5  ทูเตนอุปสัมปทา  พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้มีการบวชโดยผ่านทูต เนื่องจากมีหญิงนางหนึ่งชื่ออัฒฑกาสได้ขออุปสมบทจากภิกษุณีสงฆ์เรียบร้อยแล้ว  และต้องเดินทางไปขออุปสมบทจากภิกษุสงฆ์ในอีกหมู่บ้านหนึ่ง  ระหว่างทางได้ทราบว่ามีผู้ปองร้ายดักจับกุมตัวนาง  พระพุทธองค์จึงทรงอนุญาตให้ภิกษุณีสงฆ์ส่งฑูตไปขอรับอุปสมบทจากภิกษุสงฆ์  โดยแจ้งชื่อและรายละเอียดของภิกษุณี ที่ได้รับการบวชให้เหล่าภิกษุสงฆ์ทราบ เมื่อภิกษุสงฆ์กล่าวรับ วิธีนี้ก็ถือว่าเป็นการบวชโดยสมบูรณ์  (พระไตรปิฎก  เล่มที่ 7 หน้า      359 – 360)

                รูปแบบการบวชในวิธีในข้อ  2.2.1 ,  2.2.3  และ 2.2.5  นั้น ไม่มีแล้ว ส่วนอีก 2 ข้อ เป็นรูปแบบที่ถือปฏิบัติ ในปัจจุบันคือ ข้อ 2.2.2 การบวชโดยสงฆ์ฝ่ายเดียว มีในประเทศจีนบางวัด และข้อ 2.2.4 การบวชโดยสงฆ์สองฝ่าย มีในประเทศเกาหลีใต้ ไต้หวันและศรีลังกา

2.3 สิกขาบทของภิกษุณี                                                     

                สิกขาบท [4]   หมายถึง  วินัยหรือข้อห้ามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้เพื่อเป็นหลักในการปกครองภิกษุณี ทั้งนี้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของหมู่สงฆ์ เพื่อป้องกันสิ่งมัวหมองอันจะเกิดขึ้นแก่พุทธศาสนา เพื่อจูงใจคนที่ยังไม่เลื่อมใสให้เกิดความเลื่อมใสเพื่อให้ผู้ที่เลื่อมใสแล้วได้เลื่อมใสยิ่งขึ้น และเพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม สิกขาบทหรือวินัยของภิกษุณีก็เช่นเดียวกับกฎหมายต่าง ๆ ที่ผู้บริหารบัญญัติขึ้นเพื่อปกครองประชาชนในประเทศของตนเช่นทุกวันนี้ สิกขาบทของภิกษุณีนั้นมีมากกว่าสิกขาบทของภิกษุ คือ มีทั้งหมดถึง 311 สิกขาบท ส่วนของภิกษุมีเพียง 227 สิกขาบท  มีการกล่าวอ้างว่า การที่พระพุทธองค์กำหนดให้ภิกษุณีต้องถือสิกขาบทมากกว่าภิกษุแสดงให้เห็นว่า พระพุทธองค์ทรงต้องการกีดกันไม่ให้สตรีมาบวช  แต่เมื่อวิเคราะห์เนื้อหาทั้งหมดแล้ว  พบว่ามีเนื้อหาส่วนใหญ่ตรงกัน  แต่มีการจัดหมวดหมู่แตกต่างกันไปบ้าง  มีสิกขาบทเพิ่มเติมหรือเป็นสิกขาบทที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันและบางข้อก็เพื่อความปลอดภัยของภิกษุณี

                บทบัญญัติของภิกษุณี ประกอบด้วย 2 กลุ่ม คือ

                        1. อสาธารณบัญญัติ [5]หรือ เอกโตบัญญัติมี 130 สิกขาบท ภิกษุสงฆ์ไม่ต้องรักษา

2. สาธารณบัญญัติ[6] หรือ อุภโตบัญญัติ สำหรับภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์พึงรักษามี 181

     สิกขาบท

สิกขาบทของภิกษุณีและภิกษุแบ่งตามหมวดพระวินัย  มีดังนี้

หมวดพระวินัย ภิกษุณีรักษาสิกขาบท ภิกษุรักษาสิกขาบท
     1. ปาราชิก 8 4
     2. สังฆาทิเสส 17 13 เพิ่มหมวด (อนิยต 2 ข้อ)
     3. นิสสัคคียปาจิตตีย์ 30 30
     4. ปาจิตตีย์ 166 92
     5. ปาฎิเทสนียะ 8 4
     6.เสขิยวัตร 75 75
     7. อธิกรณสมถะ 7 7
รวม 311 277

        จากการเปรียบเทียบพระปาติโมกข์ของพระภิกษุณีสงฆ์ พบว่าถ้านับโดยหมวดแล้ว ภิกษุสงฆ์มีวินัยที่ต้องรักษา 8 หมวด ในขณะที่ภิกษุณีสงฆ์มีเพียง 7 หมวด หมวดที่เพิ่มขึ้นมาคือ หมวดอนิยตนั้น มี 2 ข้อ คือ ห้ามมิให้ภิกษุสงฆ์อยู่ในที่ลับตากับมาตุคามและนั่งในที่ลับหูกับมาตุคามสองต่อสอง   ผู้ที่เสนอให้เพิ่มสิกขาบทนี้เป็นหญิง ได้แก่ นางวิสาขา พระพุทธองค์ทรงกำหนดสิกขาบทตามที่นางเสนอเพื่อเป็นมาตรฐานความประพฤติที่เหมาะสมของภิกษุสงฆ์ (แม่ชีกฤษณา รักษาโฉม  2544 : 127)

        ในหมวดปาราชิก ซึ่งเป็นหมวดที่จัดว่าเป็นอาบัติที่สุด ภิกษุหรือภิกษุณีใดละเมิดสิกขาบทในหมวดนี้ แม้ข้อใดข้อหนึ่งถือว่าขาดจากความเป็นภิกษุหรือภิกษุณีทันทีที่กระทำความผิด สำหรับของภิกษุ มี 4 ข้อ ภิกษุณี มี 8 ข้อ สิกขาบทที่เพิ่มขึ้นมาของภิกษุณีนั้น มีความคล้ายคลึงกับพระภิกษุ แต่ของพระภิกษุกลับถูกจัดอยู่ในหมวดถัดไป คือ สังฆทิเสสซึ่งมีโทษปรับอาบัติน้อยกว่า ทำให้ตั้งข้อสันนิษฐานว่า การจัดหมวดหมู่ของสิกขาบทนั้น ทำขึ้นสมัยหลัง และอาจกระทำโดยพระภิกษุสงฆ์เพียงฝ่ายเดียว

         ในหมวดปาฏิเทสนียะ ของพระภิกษุณีมีสิกขาบท 8 ข้อ พระภิกษุ ก็มีสิกขาบทนี้เหมือนกันใน    เนื้อหา แต่ถูกจัดอยู่ในหมวดปาจิตตีย์ และนับรวมเป็นข้อเดียว เป็นสาเหตุหนึ่งทำให้จำนวนสิกขาบทของภิกษุณีมีมากกว่าพระภิกษุ อีกประการหนึ่ง ในหมวดปาจิตตีย์ ซึ่งเป็นหมวดที่พระภิกษุณีถือสิกขาบท ถึง 166 ข้อ ในขณะที่พระภิกษุมีเพียง 92 ข้อ เป็นสิกขาบทร่วมกันคือ ถือปฏิบัติร่วมกันทั้งสองฝ่าย 70 ข้อ เฉพาะภิกษุ 22 ข้อ เฉพาะภิกษุณี 76 ข้อ ในจำนวนสิกขาบทของภิกษุนี้ มีจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับเกณฑ์การบรรพชาอุปสมบท ซึ่งของพระภิกษุก็ต้องถือปฏิบัติแต่ไม่ได้นับรวมอยู่ในปาติโมกข์ ด้วยเหตุนี้จึง           ทำให้ดูเหมือนว่า จำนวนสิกขาบทที่ภิกษุณีสงฆ์ต้องรักษามีมากกว่าพระภิกษุสงฆ์

          การบัญญัติพระวินัย พระพุทธองค์ไม่ทรงบัญญัติไว้ล่วงหน้า ทรงบัญญัติเมื่อมีเหตุเกิดขึ้น เมื่อบัญญัติแล้วจะไม่ทรงยกเลิก แต่จะบัญญัติเพิ่มเติมเข้าไปให้รัดกุม และชัดเจนมากขึ้น ข้อความที่ทรงบัญญัติไว้ครั้งแรกเรียก มูลบัญญัติ ที่บัญญัติเพิ่มเติมภายหลังเรียก อนุมูลบัญญัติ รวมมูลบัญญัติและอนุมูลบัญญัติเข้าด้วยกัน เรียก สิกขาบท (สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส, 2517 : 9 – 10)[7]

   ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบจำนวนสิกขาบทของภิกษุณีกับของภิกษุแล้ว จะเห็นได้ว่า สิกขาบทของภิกษุณีมากกว่าภิกษุถึง 84 สิกขาบท ซึ่งแสดงให้เห็นความจำเป็นบางอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ สิกขาบท สำหรับบรรพชิตทั้ง 2 ฝ่ายนี้ด้วยเหตุผล ดังนี้ 

          1) เพื่อความบริสุทธิ์สะอาดในบรรพชิตบริษัท ทั้งนี้เพราะในบรรดาพุทธสาวกทั้งที่เป็นฝ่ายบรรพชิตและฝ่ายคฤหัสถ์ ฝ่ายแรกจะมีความสำคัญมากที่สุด เพราะเป็นองค์ประกอบที่ใกล้ชิดกับ           พระพุทธเจ้า เป็นตัวกลางที่เผยแผ่หลักธรรมคำสอนของพระองค์ไปสู่มหาชนโดยตรง จึงเป็นกำลังสำคัญอย่างยิ่งในการประกาศศาสนา พุทธศาสนาจะเจริญหรือเสื่อมขึ้นอยู่กับบริษัทนี้เป็นส่วนใหญ่ พระพุทธเจ้าทรงตระหนักถึงความจริงข้อนี้ จึงทรงมีนโยบายสร้างความบริสุทธิ์สะอาดมากที่สุดให้เกิดมีขึ้นในวงการบรรพชิตสาวก เพื่อเป็นการปลูกฝังศรัทธา และความเลื่อมใสในหมู่มหาชนให้หันมายอมรับนับถือ        อุดมการณ์ทางพุทธศาสนา โดยการทำให้ผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสให้เกิดความเชื่อ ความเลื่อมใส และทำให้ผู้ที่เลื่อมใสอยู่แล้ว มีความเลื่อมใสมากยิ่งขึ้น เมื่อเกิดภิกษุณีขึ้นในพุทธศาสนายิ่งทำให้พระองค์ทรงระมัดระวังมากยิ่งขึ้น  ดังนั้น เมื่อสตรีได้อุปสมบทในพระธรรมวินัยจึงทรงออกระเบียบข้อบังคับอย่างละเอียดเพื่อกำชับควบคุมให้อยู่ในกรอบที่ดีงาม โดยกำหนดโทษหนักเบาตามความเหมาะสมกับความผิด

           2)  เพื่อสวัสดิภาพของภิกษุณีเอง เนื่องจากความแตกต่างโดยธรรมชาติระหว่างสตรีกับบุรุษเพศ จึงเป็นเหตุผลอีกประการหนึ่งที่ทำให้พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทสำหรับภิกษุณีไว้มากกว่าภิกษุ เพื่อความปลอดภัยแก่ภิกษุณีเอง ทั้งนี้เพราะสตรีเป็นเพศที่มีภัยอันตรายจากสังคมอยู่รอบด้านและไม่อาจที่จะช่วยเหลือตนเองได้เมื่อเกิดภัย เพราะเคยมีตัวอย่างอยู่เสมอที่ภิกษุณีถูกข่มขืนรังแก เช่น ในครั้งที่ภิกษุณี  2 รูป เดินทางจากเมืองสาเกตเพื่อจะไปยังพระนครสาวัตถี เมื่อถึงแม่น้ำแห่งหนึ่งไม่อาจข้ามไปได้เพราะน้ำลึก จึงขอร้องให้คนช่วยพายเรือข้ามฟาก เขาตอบว่าไม่อาจจะพาข้ามฟากไปได้ในเรือลำเดียวกัน 2 รูป จึงใช้เรือ 2 ลำ บุรุษคนแรกเมื่อพายเรือไปถึงฝั่งแล้วได้ใช้กำลังข่มขืนภิกษุณีรูปนั้น  ฝ่ายบุรุษอีกคนหนึ่งก็ได้ทำการข่มขืนภิกษุณีอีกรูปหนึ่งทางฝั่งนี้แล้วจึงพายเรือไปส่ง เมื่อข้ามฝั่งได้แล้วภิกษุณีทั้งสองจึงบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตนให้กันฟัง และเมื่อถึงเมืองสาวัตถีจึงเล่าเรื่องให้ภิกษุฟัง ภิกษุนำความนั้น    กราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบ พระองค์จึงมีพุทธบัญญัติห้ามภิกษุณีเที่ยวไปตามลำพังผู้เดียวหรือข้ามแม่น้ำตามลำพัง ส่วนอันตรายในทำนองเดียวกันนี้ไม่เกิดกับภิกษุ เพราะฉะนั้นสิกขาบทประเภทนี้จึงไม่ทรงบัญญัติไว้สำหรับภิกษุ

             3)  สภาวะและการเป็นอยู่ของภิกษุณี    ภิกษุณีเป็นบรรพชิตซึ่งอยู่ในสภาพของผู้ไม่มีเรือน ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการอาศัยบุคคลอื่น ทั้งนี้เพราะบรรพชิตในพุทธศาสนาไม่มีการประกอบอาชีพใดๆ เพื่อเป็นการเลี้ยงชีพอย่างฆราวาสวิสัย การบริโภคเป็นไปเพื่อยังอัตภาพให้ดำรงอยู่ได้ เพื่อการปฏิบัติธรรมบำเพ็ญเพียรตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นจึงมีสภาพผิดแปลกแตกต่างจากผู้ครองเรือนทั้งหลาย  สำหรับที่อยู่อาศัยของภิกษุณีนั้นในระยะเริ่มแรกอยู่ในลักษณะต่างคนต่างอยู่โดยกระจัดกระจายกันอยู่ทั่วไป ส่วนมากอยู่ตามป่าที่สงบเงียบ ห่างไกลจากชุมชนเพื่อความเหมาะสมในการเจริญสมณธรรมเช่นเดียวกับภิกษุ เพราะฉะนั้น จึงเป็นอันตรายสำหรับภิกษุณีมาก เนื่องจากถูกทำร้ายรังแก เมื่อเกิดเรื่องขึ้น พวกภิกษุณีจึงเล่าเรื่องให้ภิกษุฟัง ภิกษุจึงกราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ พระองค์จึงตรัสว่าภิกษุณีไม่ควรจะอยู่ตามป่า  ในเวลาต่อมาเกิดเรื่องทำนองเดียวกันนี้แก่พระอุบลวัณณาภิกษุณี คือ          ครั้งหนึ่งนางได้เข้าไปสู่ป่าอันธวันเพื่อแสวงหาความวิเวกในการปฏิบัติธรรม เช้าวันหนึ่งเข้าสู่นครสาวัตถีเพื่อบิณฑบาต นันทมานพผู้เป็นญาติซึ่งมีความรักใคร่ในตัวเธอตั้งแต่ครั้งที่ยังเป็นฆราวาส แม้นางจะอุปสมบทเป็นภิกษุณีแล้ว  นันทมานพก็ยังไม่ละความพยายาม  และได้เฝ้าติดตามนางอยู่เสมอจนประสบโอกาสเหมาะสมในวันนั้น  จึงเข้าไปแอบซุ่มอยู่ภายในกระท่อมที่พักของนาง  เมื่ออุบลวัณณาภิกษุณีกลับจากบิณฑบาตเข้าไปในกระท่อม  นันทมานพจึงใช้กำลังลาวงเกิน  ต่อมาความทราบถึงพระพุทธเจ้าทรง    สอบถามจนได้ความจริงแล้ว จึงทรงตระหนักถึงภัยอันตรายของภิกษุณี วันหนึ่งได้ตรัสปรารภกับพระเจ้าปเสนทิโกศลให้สร้างที่อยู่อาศัยของภิกษุณีให้เป็นหลักแหล่งแน่นอนในที่ใกล้กับชุมชน  และทรงมีพุทธบัญญัติห้ามภิกษุณีอยู่ป่าตั้งแต่นั้นมา (พระไตรปิฎก 2539 : เล่ม 7 หน้า 360)

2.4  บทบาทและความสำคัญของภิกษุณีในพระพุทธศาสนานั้น พอจะกล่าวโดยสังเขป  ดังนี้

1. บทบาทในการเผยแผ่พระธรรม  ภิกษุณีขวนขวายในการศึกษาและปฏิบัติธรรมตลอดจนมี     บทบาทในการ เผยแผ่ธรรมสูงมาก ภิกษุณีมีโอกาสได้ศึกษาและแสดงธรรมเช่นเดียวกับภิกษุสงฆ์ ภิกษุณีบางรูปมีลูกศิษย์เป็นอำมาตย์เสนาบดี ชนชั้นสูงและประชาชนทั่วไป ในพระเถรีคาถากล่าวถึงกรณีภิกษุณีรูปหนึ่งสั่งสอนภิกษุจนบรรลุอรหัตผล ในพระไตรปิฎกก็ปรากฏหลักฐานที่สนับสนุนความข้อนี้เช่นกัน เช่นบทบาทของ พระสารีบุตรเถระเมื่อเปรียบเทียบกับ  พระนางเขมาเถรี ซึ่งทั้งคู่เป็นอัครสาวกและอัครสาวิกาฝ่ายปัญญา แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่นั้น  พระเถรผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียง เช่น สารีบุตร พระโมคัลลานะ พระมหากัสสปะ เคยเทศน์โปรดผู้มีอำนาจทางการเมือง เช่น พระเจ้าปเสนทิโกศลเลย แต่พระไตรปิฎกระบุถึงพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ว่า ได้เข้าไปฟังธรรมจากภิกษุณี  2 รูป คือพระนางเขมาภิกษุณีและถุลลนันทาภิกษุณี   ภิกษุณีได้พิสูจน์ให้เห็นว่ามีความสามารถทัดเทียมกับพระภิกษุสงฆ์ในฐานะของผู้สืบทอด และเผยแผ่พระพุทธศาสนา  ( เมตฺตานนฺโท ภิกฺขุ 2545 หน้า 178 - 194 )

2. บทบาทในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังดินแดนอื่น เช่น พระนางสังฆมิตตาเถรี พระธิดาของพระเจ้าอโศกมหาราชได้เดินทางไปบวชให้พระนางอนุฬาเทวีและสตรีอื่น ๆ  ที่ลังกา

             3. บทบาทในเรื่อง พระธรรมวินัย ได้แก่ พระปฎาจรารเถรี ดำรงอริยธรรมอันสูงสุด สำเร็จเป็นพระอรหันต์ พระพุทธองค์ได้สรรเสริญ และยกย่องว่าเป็นผู้มีความแตกฉาน ในพระวินัย และทรงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เอตทัคคะ ด้านพระธรรมวินัย ในส่วนของเถรีคาถาได้บันทึกถึงความสำเร็จของภิกษุณี ที่มีความรู้ความสามารถ ไม่ต่ำกว่า 73 รูป (แม่ชีกฤษณา  รักษาโฉม 2545 : 34 - 78 หน้า 34 , 78 เมตฺตานนฺโท ภิกฺขุ 2545  163 - 185)

              4.บทบาทในเรื่องสังคมสงเคราะห์   หลักฐานในเถรีคาถานั้นได้กล่าวถึงบทบาทของภิกษุณี ที่มีความสามัคคี อยู่รวมกลุ่มเป็นหมู่คณะอย่างใกล้ชิด ขวนขวายในกิจกรรมการเรียนการสอน และความสัมพันธ์ระหว่างพระเถรีผู้ใหญ่กับภิกษุณีผู้น้อย อยู่ในลักษณะของแม่กับลูก นับถือกันอย่างใกล้ชิดเหมือนญาติสนิท (แม่ชีกฤษณา รักษาโฉม พ.. 2545 หน้า 115  เมตฺตานนฺโท ภิกฺขุ หน้า   163 - 170

         [2]ครุธรรม 8 เป็นการหลักการ ที่พระพุทธองค์มอบให้ได้อุปสมบทเป็นภิกษุณีของพระแม่น้านางมหาปชาบดีโคตมี

         [3] เรื่องอันตรายิกธรรมของภิกษุณีสมัยนั้นภิกษุณีทั้งหลายที่อุปสมบทแล้วปรากฏว่าไม่มีเครื่องหมายเพศบ้าง สักแต่ว่ามีเครื่องหมายเพศบ้างไม่มีประจำเดือนบ้าง มีประจำเดือนไม่หยุดบ้าง ใช้ผ้าซับเสมอบ้างเป็นคนไหลซึมบ้าง มีเดือยบ้าง เป็นบัณเฑาะถ์หญิงบ้าง มีลักษณะคล้ายชายบ้าง มีทวารหนักทวารเบาติดกันบ้าง มีสองเพศ (อุภโตพยัญชนก) บ้าง ฯลฯ

          [4] สิกขาบท  หมายถึงข้อที่ต้องรักษา ข้อศีล ข้อวินัย บทบัญญัติข้อหนึ่ง ๆ เช่น ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 และละข้อเรียกว่าสิกขามนา : แม่ชีกฤษณา รักษาโฉม : การศึกษาเชิงวิเคราะห์บทบาทของพระวินัยธรในพระวินัยปิฎก วิทยานิพนธ์ สาขา วิชาพุทธศาสนา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์

          [5] อสาธารณบัญญัติ ได้แก่ บทบัญญัติที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภภิกษุณีสงฆ์บัญญัติไว้ ซึ่งภิกษุสงฆ์ไม่ต้องรักษาจำนวน 46 สิกขาบท และที่ทรงปรารภภิกษุณีสงฆ์บัญญัติไว้เฉพาะสำหรับภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายเดียว จำนวน 130 สิกขาบท  ตามที่แสดงไว้ในพระวินัยปิฎก ภิกษุณีวิภังค์ เล่ม 3

          [6] สาธารณบัญญัติ ได้แก่ บทบัญญัติที่พระผู้มีพระภาคทรงปรารถนาภิกษุสงฆ์บัญญัติไว้ เป็นข้อปฎิบัติสำหรับภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ พึงรักษาด้วย จำนวน 174 สิกขาบท ดังที่ แสดงไว้แล้วในพระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ภาค 1 และภาค 2 

          [7] สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส วินัยมุข เล่ม 1 พิมพ์ครั้งที่ 30 พ.ศ.2517 หน้า 9 - 10

         บทที่ 1 เหตุผลและความจำเป็นของการศึกษา 
          
บทที่
2 กำเนิดและวิธีการบวชภิกษุณี 
          
บทที่ 3 การเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังดินแดนอื่นและมายังประเทศไทย  
          
บทที่ 4 ปัญหาและอุปสรรคเกี่ยวกับการบวชภิกษุณีในประเทศไทย  
          
บทที่ 5 บทสรุปและข้อเสนอแนะ  
กลับหน้า   ข่าวล่า

 วัตรทรงธรรมกัลยาณี เลขที่ 195 ถนนเพชรเกษม ต. พระประโทน อ. เมืองฯ จ. นครปฐม 73000
โทร. (034) 258-270 โทรสาร (034) 284-315   E- mail : [email protected]
Copyright (c) 2002-2003 Thaibhikkhunis.org  All rights reserved.