3.1
การสืบเชื้อสายของภิกษุณีสงฆ์ ศรีลังกามีพิธีทางศาสนาเพื่อระลึกถึงพระนางสังฆมิตตาเถรีทุกปีในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 1 คัมภีร์ทีปวงศ์ได้บันทึกรายนามภิกษุณีที่ติดตามมาในคณะของพระนางสังฆมิตตาเถรีหลายองค์ ในการเสด็จมาลังกานี้พระนางได้ประกอบพิธีอุปสมบทกรรมแก่พระนางอนุฬาเทวี พร้อมด้วยสตรีอื่นอีก 1,000 คน จึงนับได้ว่า พระนางสังฆมิตตาเถรีเป็นผู้นำในการสืบสายภิกษุณีสงฆ์ในต่างประเทศ ที่มีหลักฐานปรากฏชัดเจน
จากบันทึกทางประวัติศาสตร์
ได้ทราบว่าในปี พ.ศ.
976 คณะภิกษุณีสงฆ์จากศรีลังกานำโดยภิกษุณีเทวสร
ได้เดินทางไปประเทศจีนโดยทางเรือ
เพื่อไปให้การอุปสมบทแก่สตรีชาวจีนจำนวนถึง
300
นาง ที่วัดป่าใต้
เมืองนานกิง
ต่อมาภิกษุณีสงฆ์ในประเทศจีนได้เผยแผ่ไปยังประเทศใกล้เคียง
ได้แก่ เกาหลี ญี่ปุ่น
ไต้หวัน ฮ่องกง เวียดนาม
และสิงคโปร์
ดังปรากฏในปัจจุบัน
พุทธศาสนาในศรีลังกาได้เจริญรุ่งเรืองจนกระทั่งปี
พ. ศ.
1560
ประเทศลังกาได้ถูกกษัตริย์ฮินดูจากอินเดียรุกรานและพุทธศาสนาได้ถูกย่ำยี
ภิกษุ ภิกษุณี
ต้องหนีไปหลบซ่อนในป่าและกษัตริย์ฮินดูได้ยึดครองศรีลังกาเป็นเวลากว่า
50
ปี ต่อมา
เมื่อกษัตริย์ศรีลังกาสามารถขับไล่กษัตริย์ฮินดูออกไปได้สำเร็จจึงได้ฟื้นฟูพุทธศาสนาขึ้น
ได้ส่งราชทูตมาขอสืบพระพุทธศาสนาจากประเทศเพื่อนบ้านได้แก่
ไทยและพม่า
โดยสายที่ไปจากประเทศไทยได้กลายเป็นที่มาของภิกษุสงฆ์สายสยามนิกายมาจนถึงปัจจุบัน(ธัมนันทา
สามเณรี , 2544 : 6
7) 3.2
การเผยแผ่พระพุทธศาสนามายังประเทศไทยและการบวชภิกษุณี
การเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชมาสู่แผ่นดินสุวรรณภูมินั้น
พระราชสุวรรณเมธี[2]
ได้กล่าวไว้ว่า
มีพระภิกษุสงฆ์ 5
รูป สามเณร อุบาสก
อุบาสิกา พราหมณ์
คณะอำมาตย์ อตุลยา
ท่านผู้หญิงอตุลยา
กับประชาชนพุทธบริษัทรวม
38 คน
และตามหลักฐานที่ปรากฏในคัมภีร์สมนตปาสาทิกาย[3]
กล่าวถึง
พระโสณะได้เทศน์ให้แก่
ชาวสุวรรณภูมิ
กุลบุตร 3,300
คน ได้บวชเป็นภิกษุและกุลธิดา
1,500
คน ได้บวชเป็นภิกษุณี
ซึ่งแสดงว่าภิกษุณีได้เกิดขึ้นแล้วในแผ่นดินสุวรรณภูมิ
(พระไตรปิฎกเล่ม
7
หน้า 58
59) นับตั้งแต่สมัยสุโขทัย
อยุธยา ธนบุรี
จนถึงยุครัตนโกสินทร์
ประเทศไทยต้องเผชิญศึกสงครามทั้งจากศึกภายนอกและศึกภายในที่คนไทยต้องรบราฆ่าฟันกันเอง
เพื่อแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์
บ้านเมืองจึงอยู่ในภาวะที่ไม่เอื้อต่อการที่ชาวพุทธในสมัยนั้นจะศึกษาเล่าเรียนธรรมะอย่างจริงจัง
นอกจากนั้นในสมัยอยุธยา
รัชสมัยของพระบรมราชาที่
2
(พ.ศ.
1967
1991) กษัตริย์ไทยได้ยึดอาณาจักรเขมรได้สำเร็จบรรดาโหราจารย์
และ พราหมณาจารย์จากราชสำนักเขมรถูกกวาดต้อนมายังกรุงศรีอยุธยา
ศาสนาพราหมณ์และคัมภีร์มนูธรรมศาสตร์จึงมีบทบาทอย่างสูงต่อราชสำนักไทย
ส่งผลให้
สถานภาพของผู้หญิงต่ำต้อยกว่าชาย
และอยู่ในวรรณะที่ต่ำสุด
อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ส่งผลกระทบต่อสังคมและสตรีไทยโดยตรง
กล่าวคือ
บทบาทของสตรีถูกจำกัดเฉพาะในครัวเรือน
และต้องอยู่ภายใต้การปกครองและดูแลของบุรุษเพศเท่านั้น
บทบาทของสตรีในการนับถือพระพุทธศาสนาจึงถูกจำกัดให้อยู่ในฐานะของผู้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและมีความเชื่อว่าการสร้างวัดเป็นมหากุศลสูงยิ่ง
บรรดาสตรีในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นจึงนิยมสร้างและบูรณะวัดกันมาก
อย่างไรก็ตามสตรีไทย
ที่มีความศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อพระพุทธศาสนา
และต้องการอุทิศตนเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนาก็ยังไม่ลดละความพยายาม
ดังปรากฏว่าอีก 30
ปีต่อมา นางวรมัย
กบิลสิงห์
ได้ศึกษาปฏิบัติธรรมจนเกิดความเลื่อมใสต้องการบวชเป็นภิกษุณีได้พยายามแสวงหาหนทางที่จะบวช
เมื่อได้ทราบว่าไต้หวัน
ยังมีคณะภิกษุณีสงฆ์อยู่
จึงได้เดินทางไปเพื่อรับการบวชจากสงฆ์สองฝ่าย
ต่อมา ปีพ.ศ.
2514 ได้กลับมายังประเทศไทยและได้อุทิศที่ดินส่วนตัวสร้างวัตรทรงธรรมกัลยาณี
ที่จังหวัดนครปฐม
เพื่อเป็นที่พำนักและปฏิบัติธรรม
หลังจากบวชได้ไม่นานนัก
ได้มีเจ้าหน้าที่จากกรมการศาสนาเข้าไปตรวจสอบ
เมื่อเสนอเรื่องไปสู่ที่ประชุมมหาเถรสมาคม
ที่ประชุมมีมติว่าการบวชนั้น
ไม่เป็นการเสื่อมเสียต่อคณะสงฆ์
ปัจจุบันภิกษุณีวรมัย
ยังคงครองเพศบรรพชิต
และมีอายุกว่า 95
ปีแล้ว
ในปี
พ.ศ. 2544 ดร.ฉัตรสุมาลย์
กบิลสิงห์
บุตรสาวคนเดียวของภิกษุณีวรมัย
กบิลสิงห์
ซึ่งอดีตเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
และนักวิชาการด้านปรัชญาศาสนาที่มีชื่อเสียง
ได้เดินทางไปยังประเทศศรีลังกาเพื่อรับการบรรพชาเป็นสามเณรี
และกลับมาพำนัก ณ
วัตรทรงธรรมกัลยาณี
ที่ภิกษุณีมารดาได้สร้างไว้
ในปีต่อมา (พ.ศ.
2545) ได้มีการบรรพชาสามเณรีวรางคณา
วนวิชเยนทร์
ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก
ผู้ที่ให้การบรรพชาคือ
คณะภิกษุณีสงฆ์จากประเทศศรีลังกามีปวัตตินี
คือ พระภิกษุณีสัทธารมุนา
โดยมีภิกษุณีสงฆ์
จากอินโดนีเซีย
และไต้หวัน
รวมทั้งภิกษุสงฆ์จากประเทศไทยเข้าร่วมเป็นประจักษ์พยาน
การบรรพชาครั้งนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจนนำมาสู่การศึกษาของคณะอนุกรรมาธิการด้านสตรี 3.3
การฟื้นฟูการบวชภิกษุณีในระดับสากล
การสืบสายภิกษุณีสงฆ์จากลังกาไปยังประเทศอื่นนั้น
มีหลักฐานปรากฏว่า
เมื่อปี พ.ศ. 976 คณะภิกษุณีสงฆ์จากลังกานำโดยภิกษุณีเทวสร[5]
ได้เดินทางไปประเทศจีนทางเรือ
เพื่อทำพิธีอุปสมบทแก่ภิกษุณีจำนวน
300 รูป
ณ วัดป่าใต้ (หนานหลินซื่อ)
เมืองนานกิง
ดังนั้นจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่า
ภิกษุณีสงฆ์ในประเทศจีนนั้นได้รับการอุปสมบทโดยสายคณะภิกษุณีสงฆ์จากลังกา
และการอุปสมบทนั้นถูกต้องตามแบบแผนของนิกายเถรวาททุกประการ
พระวินัยที่ภิกษุณีรักษานั้น
เป็นพระวินัยของนิกายธรรมคุปต์
ซึ่งเป็นนิกายย่อยของเถรวาทมีศีล
348 ข้อ
ซึ่งมีการปฏิบัติตรงกันกับฝ่ายเถรวาทแทบทุกข้อ
ต่อมาภิกษุณีสงฆ์ในประเทศจีนได้เผยแผ่ไปยังประเทศใกล้เคียง
ได้แก่ เกาหลี ไต้หวัน
ฮ่องกง เวียดนาม
และสิงคโปร์
ดังปรากฏในปัจจุบัน (ฉัตรสุมาลย์
กบิลสิงห์) ศาสนาได้เกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและมีความประสงค์ที่จะบวช จึงได้เดินทางไปยังประเทศพม่าและได้บวชเป็นทศศีลมาตา หรือ แม่ชีผู้ถือศีล 10 ได้รับฉายาว่า สุธรรมจารี นับเป็นสตรีชาวศรีลังกาคนแรก ที่ริเริ่มการบวชเป็นทศศีลมาตาขึ้น ต่อมาสตรีชาวศรีลังกาได้เกิดศรัทธาบวชเป็นทศศีลมาตาเพิ่มมากขึ้นและนำไปสู่การบวชเป็นภิกษุณี โดยได้รับการยอมรับและสนับสนุนจากรัฐบาล (ธัมมนันทาสามเณรี 2544 : 8-9)
ปัจจุบันมีการบวชภิกษุณีอย่างแพร่หลายในนานาประเทศ
องค์กรหลักซึ่งได้รับการยอมรับ
ได้แก่
1.วัดโฟกวางซาน[6]
นำโดย พระอาจารย์ซิงหยุน
มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองเกาซุง
ทางตอนใต้ของเกาะไต้หวัน
ซึ่งมีเครือข่ายชาวพุทธทั่วโลก
วัดโฟกวางซานมีสมาชิกเป็นภิกษุณีกว่า
700
รูป และมีภิกษุเพียง 300
รูป เท่านั้น
(ธัมมนันทา สามเณรี 2544 :
28
29)
2. สมาคมสตรีชาวพุทธนานาชาติ
ศากยธิดาเกิดขึ้นจากการประชุมนานาชาติ
ครั้งแรกเรื่อง
นักบวชสตรี
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์
2530 ที่พุทธคยา
ประเทศอินเดีย
หลังการประชุมได้เกิดการจัดตั้งสมาคมสตรีชาวพุทธนานาชาติขึ้น
สมาคมนี้จดทะเบียนในสหรัฐอเมริกา
และต่อมาในปี
พ.ศ. 2535 ดร.
ฉัตรสุมาลย์
กบิลสิงห์
เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมที่ประเทศไทย
มีภิกษุณีต่างชาติเข้าร่วมประชุม
240 คน
จาก 26 ประเทศ
ดร. ฉัตรสุมาลย์
ได้รับเลือกเป็นประธาน ศากยธิดา
ติดต่อกันถึง
2
สมัย
(พ.ศ.
2534
2538) (ธัมมนันทา
สามเณรี 2544
: 29
31)
ในเดือนตุลาคม พ.ศ.
2536 รันชนี
เดอ ซิลวา ชาวศรีลังกา
ได้รับแรงบันดาลใจจากการเข้าร่วมประชุมศากยธิดาที่ประเทศไทย
นางจึงได้จัดการประชุมขึ้นที่ศรีลังกา
มีผู้เข้าร่วมงานถึง 300
คน
การประชุมศากยธิดาจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศต่าง
ๆ เช่น ที่เมือง ลาดัค
ประเทศอินเดีย
(พ.ศ.
2538) , ที่ประเทศกัมพูชา
(พ.ศ.
2540 )
ที่ประเทศเนปาล
(พ.ศ.
2543 )
ไต้หวัน
(พ.ศ.2545) และที่จะมีขึ้น พ.ศ.2547
ที่เกาหลี การฟื้นฟูการบวชภิกษุณี
ได้รับความร่วมมือจากชาวพุทธและองค์กรพุทธศาสนาในระดับสากล
มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูและสืบทอดการบวชภิกษุณี
ซึ่งพอจะสรุปความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ
ได้ดังนี้
การบวชครั้งที่
1
ในปี พ.ศ.
2531 ได้มีทศศีลมาตาชาวศรีลังกากลุ่มหนึ่งเดินทางไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อบวชเป็นภิกษุณีสงฆ์จากคณะสงฆ์ชาวจีน
ไต้หวัน ที่วัดซีไหล
ลอสแอนเจอลิส
การบวชในครั้งนี้มีผู้บวชเป็นภิกษุณีกว่า
100 รูป
มีสตรีไทยเข้าร่วมอุปสมบทเป็นภิกษุณีด้วย
2 รูป คือ
ภิกษุณี พัชรี
และภิกษุณีละออ
การบวชครั้งนี้นำโดย
หลวงพ่อซินหยุน
แห่งวัดโฟกวางซาน การบวชครั้งที่
2
พ.ศ.
2539
ทศศีลมาตาชาวศรีลังกา 10
รูป
ได้รับการบวชเป็นภิกษุณี
จากภิกษุสงฆ์ชาวเกาหลี[7]ที่เมืองสารนาถ
ประเทศอินเดีย การบวชครั้งที่
3
ในปี พ.ศ.
2541
เจ้าภาพทศศีลมาตาชาวศรีลังกา
20 รูป
ได้รับการบวชเป็นภิกษุณีสงฆ์จากคณะสงฆ์นานาชาติ
ณ ตำบลพุทธคยา
ประเทศอินเดีย
และในปีเดียวกันนี้
คณะสงฆ์สองฝ่ายของศรีลังกานิกายสยามวงศ์คือ
ภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ได้ริเริ่มการบวชให้แก่สตรีชาวศรีลังกา
โดยจัดพิธีบวช 2 ครั้ง
หรือที่เรียกว่า
บวชโดยสงฆ์ 2
ฝ่าย
ข้อมูลล่าสุดเดือนมกราคม
2546
พบว่าที่ประเทศศรีลังกามีภิกษุณีสงฆ์รวมแล้วกว่า
400 รูป การบวชครั้งที่
4
พ.ศ.
2541
เป็นการบวชภิกษุณีเป็นครั้งแรกในศรีลังกา
โดยภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ของศรีลังกา
พระมหาเถระที่เป็นประธานจัดการบวช
คือ ท่านสุมังคละ
มหาเถระ เป็น
อัสคีรีสยามนิกาย (ธัมมนันทา
สามเณรี 2544 : 13 - 14) การบวชครั้งที่
5
พ.ศ.
2543 ที่วัดโฟกวางซาน
เมืองเกาซุง
ประเทศไต้หวัน
ในการบวชครั้งนี้มีมหาเถระจากศรีลังกานำโดย
ท่านสุมังคลมหาเถระ[8]
เป็นอุปัชฌาย์
และมีพระมหาเถระที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก
และยอมรับในระดับนานาชาติเข้าร่วมหลายองค์
(ธัมมนันทา
สามเณรี) กล่าวโดยสรุป
แนวโน้มสถานการณ์ในอนาคตของการบวชภิกษุณีน่าจะเป็นหนทางที่สามารถเกิดขึ้นได้จริงในประเทศไทย
เพราะในต่างประเทศต่างก็ให้ความสำคัญและฟื้นฟูกันอย่างจริงจัง
และต่อเนื่องมาโดยตลอด [1] พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเป็นศาสนูปถัมภกได้จัดส่งสมณทูตไปประกาศพระศาสนา 9 สาย ด้วยกัน ในสายที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย และการบวชภิกษุณีนั้นมี 2 สาย คือ สาย 8 นำโดยพระโสณเถระกับพระอุตตรเถระพร้อมด้วยคณะไปประกาศพระพุทธศาสนา ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ ได้แก่ ดินแดนแถบประเทศพม่า ไทย มาเลเซีย อินโดเนียเซีย หลักฐานที่ปรากฏในปัจจุบันในประเทศไทย คือ องค์พระปฐมเจดีย์ที่จังหวัดนครปฐม และ สายที่ 9 นำโดย พระมหินทเถระโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช และต่อมาได้ขอทูลเชิญพระนางสังฆมิตตาเถรีพระธิดาของพระเจ้าอโศกเดินทางไปที่ลังกาเพื่ออุปสมบทพระนางอนุฬาเป็นภิกษุณี สมณทูตสายที่ 9 นี้นับว่ามีผลงานอันทรงคุณประโยชน์มหาศาลต่อพระพุทธศาสนาถึงปัจจุบัน
[2]
พระราชสุวรรณเมธี
เจ้าอาวาสพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร
แผ่นดินทอง
นครปฐมแดนเกิดพระพุทธศาสนา
หน้า 67 [3] คัมภีร์สมนนตปาสานิกาย นามวินัยปิฎกฎฐกถาย หน้า 62 - 63 [5] E. Comze ed. Buddist Texts Through The Ages, Happer Tourch Books. 1964 P.293 [6] วัดโฟกวางซาน เป็นเจ้าภาพจัดากรอุปสมบทนานาชาติให้แก่ภิกษุณีครั้งแรกที่วัดซีไหล ในลอสแอนเจลีส พ.ศ. 2531 มีผู้ได้รับการอุปสมบทไป 200 กว่ารูป และได้มีการอุปสมบทนานาชาติที่พุทธคยา อินเดีย 149 รูป และล่าสุด พ.ศ. 2543 มีภิกษุณีบวชใหม่อีก 100 กว่ารูป วัดซีไหลเป็นวัดสาขาของโฟกวางซาน มีภิกษุณีซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงพ่อซิง หยุ๋น ดูแลเป็นเจ้าอาวาสปัจจุบันวัดโฟกวางซานมีเครือข่ายงานชาวพุทธทั่วโลก แนวคำสอนเน้นในพุทธศาสนาแนวมนุษย์นิยม (Humanistic Buddism)
[7]
การบวชภิกษุณีในประเทศเกาหลีเป็นการบวชโดยสงฆ์
2 ฝ่าย
ประกอบด้วยภิกษุสงฆ์ 10
รูป ภิกษุณีสงฆ์ 10 รูป
และสงฆ์ทั้ง 2 ฝ่าย
ต้องผ่านการบวชมาแล้ว 10
พรรษาเท่ากัน โดยสงฆ์ 2
ฝ่าย
ประเทศเกาหลีเป็นประเทศเดียวที่สายการบวชภิกษุณีไม่เคยขาดสายการบวช
รายละเอียดใน Korean
Buddism Published by Korean Buddist Chogye order.
May 1996
P.33 [8]ท่านสุมังคคมหาเถระ รายละเอียดในธัมมนันทา สามเณรี : การสืบสายภิกษุณีสงฆ์ในศรีลังกา พ.ศ.2544 หน้า 15 |
บทที่
1 เหตุผลและความจำเป็นของการศึกษา บทที่ 2 กำเนิดและวิธีการบวชภิกษุณี บทที่ 3 บทที่ 4 บทที่ 5 บทสรุปและข้อเสนอแนะ |
กลับหน้า ข่าวล่า |
|
วัตรทรงธรรมกัลยาณี
เลขที่ 195 ถนนเพชรเกษม
ต. พระประโทน
อ. เมืองฯ จ. นครปฐม
73000 |