ปัจจุบันในประเทศไทย
ยังคงปิดกั้นโอกาสของสตรีไทยในทางพระพุทธศาสนาให้เป็นแต่เพียง
ผู้อุปถัมภ์หรือสนับสนุนกิจกรรมทางศาสนาเท่านั้น
แต่ไม่ได้รับสิทธิและโอกาสในการบวชเป็นธรรมทายาททางพระพุทธศาสนา
ซึ่งคณะอนุกรรมาธิการได้รับฟังความคิดเห็นจากหลายฝ่าย
สรุปผลการศึกษาได้ 2
ประเด็นดังนี้
4.1
ปัญหาและอุปสรรคต่อการบวชภิกษุณีในประเทศไทย
4.2
ข้อโต้แย้งของคณะอนุกรรมาธิการต่อประเด็นข้อขัดข้องของการบวชภิกษุณีในประเทศไทย
จากการศึกษาและรับฟังความคิดเห็น
เรื่อง การบวชภิกษุณีสงฆ์ในประเทศไทยสามารถประมวลข้อขัดข้องหรือเหตุผลของฝ่ายที่คัดค้านไม่เห็นด้วยกับการบวชภิกษุณี
ได้ดังนี้ มาก่อน
การสืบทอดสายของภิกษุณีได้หายสาบสูญไปแล้ว
การบวชภิกษุณีต้องบวชโดยสงฆ์
2
ฝ่าย ซึ่งเรียกว่า อุภโตสงฆ์ (2) พระพุทธศาสนาในประเทศไทยได้รับการทำนุบำรุงจาก 3 พุทธบริษัท คือ ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา มาโดยตลอด หากพุทธศาสนาจะเสื่อมก็คงเสื่อมตั้งแต่สมัยสุโขทัยไปแล้ว เพราะ พระพุทธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยมานานแล้ว และในประวัติศาสตร์ก็ไม่เคยปรากฏหลักฐานอ้างอิงถึงภิกษุณีสงฆ์
(3)
ประกาศสมเด็จพระสังฆราชกรมหลวงชินวรสิริวัฒน์
พ.ศ. 2471 ที่ห้ามพระภิกษุไทยไม่ให้บวชหญิงเป็นบรรพชิตชัดเจนอยู่แล้ว
ใครฝ่าฝืนถือว่าเป็นเสี้ยนหนามแก่พระพุทธศาสนา
(4)
หากมีการบวชภิกษุณีจะทำให้พุทธศาสนิกชนเกิดการแตกแยกและจะนำความวุ่นวายมาสู่ประเทศไทย
(5)
การเกิดขึ้นของภิกษุณีสงฆ์นั้นไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยดังนั้นควรยอมให้พุทธศาสนาหายสาบสูญไปจากแผ่นดินไทยดีกว่าที่จะให้เกิดการมีภิกษุณีสงฆ์โดยผิดหลักการ
(6)
ครุธรรม 8
ประการ
ซึ่งกำหนดให้ภิกษุณีต้องจำพรรษาในวัดที่มีภิกษุเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงว่าจะเกิดอาบัติ
เพราะปัจจุบันเพียงแค่สตรีเข้ามาปฏิบัติธรรมในวัดก็มีข่าวปัญหาความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมระหว่างภิกษุกับสีกา
หากให้สตรีเข้ามาบวชเป็นภิกษุณีซึ่งต้องปฏิบัติกิจสงฆ์ร่วมกันแล้วเกรงจะเกิดเรื่องไม่ดีงาม
จะทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมได้
(7) ผู้คนในสังคมไทยก็ไม่เคยมีใครเรียกร้องถึงภิกษุณีสงฆ์
อยู่ ๆ ก็มีคนกลุ่มเล็ก ๆ
ลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิโดยอ้างว่าเป็นไปตามสิทธิมนุษยชน
สิทธิสตรีเป็นคนละเรื่องกับพระพุทธศาสนาธรรมาธิปไตยกับประชาธิปไตยหากนำมาผสมปนเปกันจะทำให้สังคมแตกแยก
กฎหมาย รัฐธรรมนูญนั้นจะมาบังคับใช้ในทางพระพุทธศาสนาไม่ได้
(8) การให้สตรีเข้ามามีบทบาทในการทำนุบำรุงพุทธศาสนา
หรือการประพฤติปฎิบัติ ธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ดี
แต่ไม่จำเป็นต้องบวชเป็นภิกษุณี
การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของความอิสระเป็นสิทธิส่วนตัวสามารถจะปฏิบัติได้ในภาวะความเป็นแม่ชี
อุบาสิกาหรือภาวะใด ๆ
ก็ได้
ไม่จำเป็นต้องบวชเป็นภิกษุณี
หากสตรีตั้งใจจะปฏิบัติธรรม
ควรพัฒนาสถาบันแม่ชีขึ้นมาเพราะมีความคล่องตัวมากกว่า
และมรรคผลนิพพานก็ได้รับเหมือนกัน
(9)
ถ้าจะมีภิกษุณีจะต้องยกร่างพระราชบัญญัติขึ้นมารับรองการบวชแยกต่างหากออกไปไม่ให้รวมอยู่ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
ต้องไม่อิงหลักพระธรรมวินัยโดยให้เป็นภิกษุณีรูปแบบใหม่
ขั้นตอนการบวชต้องเขียนขึ้นโดยกฎเกณฑ์ใหม่
ส่วนที่
1 การบวชภิกษุณีขัดต่อพระธรรมวินัย
ประกอบด้วย 3
หัวข้อ ดังนี้
ส่วนที่
2
ปัญหาและอุปสรรคด้านกฎหมาย
มี 2
หัวข้อ ดังนี้
จากผลของการศึกษาเรื่อง
การบวชภิกษุณีสงฆ์ในประเทศไทย
ของคณะอนุกรรมาธิการด้านสตรี
พบว่า
มีข้อมูลและหลักฐานที่สามารถโต้แย้งต่อประเด็นข้อขัดข้องที่คัดค้านการบวชภิกษุณีในประเทศไทย
ทั้ง 2 ส่วน
ได้ดังนี้ ส่วนที่
1
การบวชภิกษุณีสงฆ์ขัดต่อพระธรรมวินัย 1.1
การคัดค้านต่อการบวชเป็นภิกษุณี
ขัดต่อพระธรรมวินัย
เมื่อได้ศึกษาโดยละเอียดแล้วพบว่า
การบวชภิกษุณีไม่ขัดต่อพระธรรมวินัย
แต่อย่างใด
ในภิกขุนี
ขันธกะ พระวินัยปิฎก
ภาษาไทย เล่ม 7
หน้า
321
บรรทัดที่ 2
และ 3
ฉบับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พ.ศ.
2539
มีใจความว่า ภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลาย
อุปสมบทสตรีเป็นภิกษุณีทั้งหลาย
และ
ภิกษุทั้งหลายพึงให้อุปสมบทภิกษุณีทั้งหลาย
การปฏิบัติตนของภิกษุณีสงฆ์เพื่อให้ถูกต้อง
ตามพุทธบัญญัตินั้น
มีปรากฏชัดเจน
พระไตรปิฎก
เล่ม 7
หน้า 346
349 (ฉบับเดียวกันที่ได้อ้างในข้อ
1 ) กล่าวถึง
การให้
ในบุคคลห้ามบวชโดยเด็ดขาด
11
ประเภท
และไม่ห้ามโดยเด็ดขาด 10
ประเภท
1.2 ประเด็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่าการบวชภิกษุณีต้องดำเนินโดยสงฆ์สองฝ่ายเท่านั้น
จากการศึกษาพบว่า
พุทธศาสนิกชน
หรือแม้แต่ภิกษุสงฆ์
นักบวช นักปฏิบัติธรรม
และแม่ชีเข้าใจเรื่องภิกษุณีและการบวชภิกษุณีคลาดเคลื่อน
โดยเข้าใจว่าการบวชเป็นภิกษุณีนั้นต้องเป็นสังฆกรรมโดยสงฆ์สองฝ่าย
ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไม่ถูกต้อง
สิ่งที่ถูกต้องและต้องทำความเข้าใจใหม่
คือ
1.2.1 ข้อคัดค้านจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยต่อการอุปสมบทภิกษุณีนี้
วีระรัตน์[9]
ได้ให้ข้อคิดที่น่าสนใจว่า
ผู้ที่เข้าใจคลาดเคลื่อนในเรื่องนี้
คงไปติดค้างอยู่กับคำพูดของพระมหินท์เถระ
ที่กล่าวว่า เป็นการไม่ถูกต้องที่อาตมาจะให้การอุปสมบทแก่ภิกษุณี
พระขนิษฐาของอาตมา
คือพระนางสังฆมิตตาเถรี
อยู่ในประเทศอินเดีย
ขอให้ทูลนิมนต์พระนางลงมาเกาะลังกา
หลักฐานในพระไตรปิฎกนั้นไม่มี
ข้อความใดในพระวินัย
ที่ห้ามมิให้พระภิกษุสงฆ์อุปสมบทภิกษุณี
แต่การที่พระมหินท์เถระรับสั่งเช่นนั้น
คงเป็นเพราะขณะนั้นยังมีภิกษุณีสงฆ์อยู่
และสามารถนิมนต์มาได้
เพื่อความสะดวกต่อสตรีในการถามอันตรายิกธรรม
(ธัมมนันทา
สามเณรี 2544 : 21
27)
1.2.3
การบวชภิกษุณีนั้น
เป็นพิธีกรรมครั้งเดียวที่ทำโดยภิกษุสงฆ์
โดยพระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ภิกษุณีสงฆ์ซักถามอันตรายิกธรรมกับผู้หญิงที่ต้องการบวชเสียก่อน
เมื่อพบว่าผู้หญิงที่ต้องการบวชนั้น
มีคุณสมบัติครบถ้วนไม่มีอุปสรรคแล้ว
จึงส่งเข้ามาบวชในคณะภิกษุสงฆ์
การที่ให้ภิกษุณีสงฆ์เข้ามาซักถามอันตรายิกธรรมนั้น
จึงไม่ใช่สังฆกรรม
แต่เป็นเพียงขั้นตอนที่จะเตรียมเข้าสู่สังฆกรรม
โดยมีภิกษุสงฆ์เป็นฝ่ายดำเนินการบวชในขั้นสุดท้าย
ข้อความนี้ปรากฏในปาจิตตีย์ของภิกษุณีสงฆ์
ความเข้าใจที่ว่าวิธีการบวชภิกษุณีต้องดำเนินการโดยสงฆ์สองฝ่ายเท่านั้นจึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและหากให้ภิกษุณีสงฆ์ทำสังฆกรรมอุปสมบทให้ครั้งหนึ่งแล้วและภิกษุสงฆ์มาทำสังฆกรรมเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง
ต้องแสดงว่าสังฆกรรมครั้งแรกนั้นผิดพลาด
ต้องมีการยกเลิกสังฆกรรมแรกก่อนจึงจะสามารถมาทำสังฆกรรมหลังได้
เพราะเป็นการทำสังฆกรรมซ้ำ
ความเข้าใจเรื่องการบวชสองครั้ง
หรือบวชโดยสงฆ์สองฝ่ายจึงไม่น่าจะถูกต้อง
1.2.4 ในวินัยบัญญัติของภิกษุสงฆ์ในพระปาฏิโมกข์
227 ข้อ
ไม่มีข้อใดห้ามภิกษุสงฆ์
1.2.5
การปฏิบัติตนของภิกษุที่เกี่ยวข้องกับภิกษุณี
ตามพุทธบัญญัตินั้นมีปรากฏชัดเจนในวินัยบัญญัติ
นิสสัคคีปาจิตตีย์ 30
จีวรวรรค ข้อที่ 4
และข้อที่ 5 โกสิยวรรค
ข้อที่ 7 ปาจิตตีย์
92 สิกขาบท โอวาท
วรรคที่ 3 มี 10
สิกขาบท ปฏิเทศนียะ
สิกขาบทที่ 1 และ 2
ทั้ง 15
สิกขาบทนี้ไม่มีสิกขาบทใดห้ามภิกษุอุปสมบทสตรีเป็นภิกษุณี
1.2.6
พระไตรปิฎกเล่ม 7
หน้า 346
349
กล่าวถึงการให้อุปัชฌาย์ทำหน้าที่แทนปวัตตินี
ดังนั้น
การอุปสมบทสตรีเป็นภิกษุณีนั้น
สามารถทำได้โดยภิกษุสงฆ์ จากการศึกษา
พบว่า
เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ผู้หญิงบวชเป็นพระภิกษุณีได้นั้น
พุทธศาสนายังไม่ได้มีการแบ่งแยกนิกาย
นิกายมหายานเกิดขึ้นในสมัยหลังร่วม
500
ปี
ความแตกต่างระหว่างสายเถรวาทและมหายานนั้นเป็นเรื่องของการตีความพระธรรมไม่ใช่อยู่ที่การถือปฎิบัติตามพระวินัย
แต่การบวชเป็นเรื่องของพระวินัย
มหายานก็ถือวินัยการบวชของเถรวาท
ความแตกต่างจึงอยู่ที่การตีความพระธรรมที่ขึ้นอยู่กับบริบทของภูมิประเทศและแนวคิดปรัชญา
บางประการเท่านั้น
แต่เรื่องของการบวชเป็นเรื่องของการถือตามพระวินัย
การบวชของภิกษุณีสงฆ์จีนในทุกวันนี้ก็เป็นการถือตามนิกายธรรมคุปต์ซึ่งเป็นนิกายย่อยไปจากสายเถรวาท
ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช
ประมาณพุทธศตวรรษที่ 3
นั้น ปรากฏว่ามีการแบ่งแยกนิกาย
ในพระพุทธศาสนาถึง 32
นิกาย
แต่นิกายหลักที่มีหลักฐานปรากฏชัดเจนนั้นมี
18 นิกาย กล่าวคือ
แยกไปจากเถรวาท 12
นิกาย และแยกไปจากมหายาน 6
นิกาย พระวินัยฝ่ายจีนที่ถือปฏิบัตินั้นแยกออกไปจากเถรวาทนั้นเอง
ความแตกต่างระหว่างเถรวาทและมหายานนั้นกล่าวได้ว่า
โดยหลักกว้าง ๆ นั้น
มหายานต่างจากเถรวาทในการอธิบายพระธรรมที่แยบยล
ลึกซึ้ง และกว้างขวาง
โดยการเขียนพระสูตรอธิบายข้อ
พระธรรมต่างๆ
ได้พิสดารมากขึ้น
แต่ข้อธรรมะที่มหายานหยิบยกขึ้นมาอธิบายขยายความนั้นล้วนเป็นข้อธรรมะที่มีรากฐานมาจากพระพุทธศาสนาที่เป็นคำสอนดั้งเดิมทั้งสิ้น
สายการบวชซึ่งเป็นการสืบสายทางพระวินัย
ภิกษุณีสงฆ์ที่มีอยู่ในปัจจุบันล้วนมาจากสายเถรวาททั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นนิกายธรรมคุปต์ของจีน
หรือมูลสรวาสติวาทของธิเบต
2.1
คำสั่งห้ามบวชภิกษุณีของสมเด็จพระสังฆราช
ฯ
นับตั้งแต่ที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนาพระองค์ทรงประดิษฐานพุทธศาสนาไว้ที่พุทธบริษัท
4 อันได้แก่ ภิกษุ
ภิกษุณี อุบาสก
และอุบาสิกา
แต่พุทธบริษัทในประเทศไทยมีเพียง
ภิกษุ อุบาสก และอุบาสิกา
แต่ไม่มี
ภิกษุณี
แม้ในครั้งพุทธกาล
พระพุทธองค์ยังทรงตอบพญามารว่า
พระองค์จะเสด็จสู่พระปรินิพพานก็ต่อเมื่อ
พุทธบริษัททั้ง 4 เข้าใจในพระธรรมคำสอนและเผยแผ่
พระธรรมได้เท่านั้น
และพระองค์ได้ตอบพระอานนท์ว่า...ผู้หญิงนั้นมีศักยภาพในการบรรลุธรรมได้เช่นเดียวกับชายแต่ศาสนาจักรในประเทศไทยกลับมีพระบัญชาของพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหลวงชินวร
สิริวัฒน์
สมเด็จพระสังฆราช
ประกาศห้ามพระภิกษุไม่ให้บวชหญิงเป็นบรรพชิต
ดังมีรายละเอียดในประกาศ
ดังนี้
ประกาศ ห้ามพระเณรไม่ให้บวชหญิงเป็นบรรพชิต
หญิงซึ่งจักได้สมมติตนเป็นสามเณรี
โดยถูกต้องพระพุทธานุญาตนั้น
ต้องสำเร็จด้วยนางภิกษุณีให้บรรพชา
เพราะพระองค์ทรงอนุญาตให้นางภิกษุณีมีพรรษา
12 ล่วงแล้วเป็น
ปวัตตินี
คือเป็นอุปัชฌาย์ไม่ได้ทรงอนุญาตให้ภิกษุเป็นอุปัชฌาย์
นางภิกษุณีหมดสาบสูญขาดเชื้อสายมานานแล้ว
เมื่อนางภิกษุณีมี
ผู้รักษาขนบธรรมเนียมสืบต่อมาสามเณรีไม่มีแล้ว
สามเณรีผู้บวชสืบต่อมาจากภิกษุณีก็ไม่มี
เป็นอัน
เสื่อมสูญไปตามกัน
ผู้ใดให้บรรพชาเป็นสามเณรี
ผู้นั้นเชื่อว่าบัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติเลิกถอนสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้ว
เป็นเสี้ยนหนามต่อพระศาสนาเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี
เพราะเหตุนี้
ห้ามไม่ให้พระเณรทุกนิกาย
บวชหญิงเป็นภิกษุณีเป็นสิกขามานา
และเป็นสามเณรี
ตั้งแต่บัดนี้ ประกาศนับตั้งแต่วันที่
18
มิถุนายน
พ.ศ. 2471 กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์
ในปัจจุบันประกาศฉบับนี้ยังไม่ได้ถูกยกเลิกและยังมีผลบังคับใช้ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
พ.ศ.
2505
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
(ฉบับที่ 2) พ.ศ.
2535 มาตรา 4
ระบุให้ประกาศและคำสั่งของสมเด็จพระสังฆราชมีผลบังคับใช้ต่อไป
2.2
การลงโทษอาญาฐานแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 208
บัญญัติว่า ผู้ใดแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นภิกษุ
สามเณร นักพรต
หรือนักบวชในศาสนาโดยมิชอบ
เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นบุคคลเช่นนั้น
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นแล้ว
เมื่อสามเณรีไทยที่ได้รับการบวชมาจากต่างประเทศจะเดินทางไปต่างประเทศ
แต่ไม่ได้รับการยอมรับในสถานภาพของนักบวชสตรีและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ปฏิบัติอย่างไม่
เหมาะสม กล่าวคือ -
กรมการกงสุล
กระทรวงต่างประเทศ
ออกหนังสือเดินทางให้โดยยังใช้คำนำหน้าชื่อว่า
นาง
- เจ้าพนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ไม่ได้รับการอำนวยความสะดวก แท้ที่จริงแล้วการที่เจ้าหน้าที่จะอ้างว่าการแสดงตนเป็นสามเณรีถือว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
และไม่มีสถานภาพเป็นภิกษุณีน่าจะไม่ถูกต้อง
เนื่องจากสามเณรีได้รับการบวชตามธรรมวินัยโดยมีปวัตตินี
(อุปัชฌาย์)
เป็นชาวศรีลังกา
และมีเอกสารรับรองการบวชด้วยอย่างถูกต้อง
จึงเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลของผู้บวชอันเป็นการขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายอาญา
อีกทั้งยังเป็นการริดรอนสิทธิมนุษยชนตามปฎิญญาสากลขององค์การสหประชาชาติด้วย
นอกจากนี้ยังมีประเด็นร้องเรียน
กรณีภิกษุณีต่างประเทศ
เมื่อต้องการขอต่ออายุวีซ่า
จะต้องเปลี่ยนเป็นชุดขาวเหมือนแม่ชี
สรุป จากการศึกษาของคณะอนุกรรมาธิการด้านสตรี
เรื่อง การบวชภิกษุณีสงฆ์ในประเทศไทย
ทั้งการค้นคว้าทางเอกสารประกอบกับความเห็นของผู้รู้ทั้งที่เป็นพระสงฆ์
และฆราวาส สรุปได้ว่าการบวชภิกษุณีไม่ได้ผิดพระธรรมวินัย
ดังนั้น
ข้อขัดข้องหรือเหตุผลที่คัดค้านการบวชภิกษุณีสงฆ์ดังกล่าว
เกิดจากระเบียบ กฎหมาย
ดังเช่น
ประกาศของสมเด็จพระสังฆราช
และการยึดถือตาม ๆ
กันมาโดยไม่ได้มีการตรวจสอบเพื่อให้เกิดข้อยุติที่จะเอื้อต่อการฟื้นฟูการบวชภิกษุณี
ที่สำคัญยังดูเหมือนว่าประกาศฉบับนี้ไม่ได้เป็นเพียงกฎหมายหรือข้อบังคับที่กำหนดขึ้นมาเพื่อกีดกันไม่ให้ผู้หญิงมีสิทธิในการบวชเท่านั้น
แต่ข้อความที่ถูกเขียนขึ้นในประกาศฉบับนี้กลายเป็น
จารีต
และได้ปลูกฝังเป็น
ค่านิยม
ส่งเสริมให้เกิด
อคติในเรื่องการบวชของผู้หญิง
[9]
D.
Amarasiri
Weeraratne , Ven.
Mapalagama
Vipulasara and
the Bhikkuni Order
YASODHARA ,No.
6 , Jan
Mar 2001
[10]
พระภิกษุชาวศรีลังกา
ผู้ดำรงตำแหน่งประธานองค์กรพุทธศาสนาโลก
ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับการบวชภิกษุณีและเป็นผู้ที่ชาวศรีลังกาให้ความนับถือได้สนับสนุนการบวชภิกษุณีหลังจากที่ได้ตรวจสอบพระวินัยแล้วเห็นว่าหากมหาเถระ
10
รูปขึ้นไปเห็นพ้องกันว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องก็อุปสมบทภิกษุณีได้ตามพุทธานุญาตที่ว่า
ตถาคตอนุญาตให้ภิกษุอุปสมบทภิกษุณีได้ ภิกษุณี, เอกสารทางวิชาการลำดับที่ 7 กระทู้ถามโดย ส.ว.ระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช, คณะกรรมาธิการกิจการสตรี เยาวชนและผู้สูงอายุ วุฒิสภา, หน้า 22 |
บทที่
1 เหตุผลและความจำเป็นของการศึกษา บทที่ 2 กำเนิดและวิธีการบวชภิกษุณี บทที่ 3 บทที่ 4 บทที่ 5 บทสรุปและข้อเสนอแนะ |
กลับหน้า ข่าวล่า |
|
วัตรทรงธรรมกัลยาณี
เลขที่ 195 ถนนเพชรเกษม
ต. พระประโทน
อ. เมืองฯ จ. นครปฐม
73000 |