ก.
บทสรุป
การศึกษาเรื่องการบวชภิกษุณีในประเทศไทยของคณะอนุกรรมาธิการด้านสตรี พิสูจน์ได้ว่าการบวชภิกษุณีไม่ขัดต่อพระวินัย และเป็นไปตามพุทธานุญาตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยังไม่เคยยกเลิกพุทธานุญาตที่ให้ภิกษุสงฆ์บวชภิกษุณี การฟื้นฟูการบวชภิกษุณีจะเป็นการส่งเสริม เสรีภาพและโอกาสในการปฏิบัติธรรมและการบรรลุธรรมของสตรีอย่างเท่าเทียมเสมอภาคกับบุรุษ อีกทั้งยังสอดคล้องกับอุดมการณ์ของรัฐธรรมนูญตลอดจนข้อตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยความเสมอภาคของมนุษย์ การบวชภิกษุณีพึงได้รับการพิจารณาว่าเป็นสิทธิเสรีภาพของมนุษย์ในการพัฒนาตนเองและสังคมไปสู่ความดีงามที่สตรีไทยพึงกระทำได้ และรัฐไทยซึ่งมีรากฐานทางวัฒนธรรมของพุทธศาสนาอันลึกซึ้งยาวไกลควรให้การคุ้มครองและการสนับสนุน เพื่อให้สตรีไทยสืบทอดพระพุทธศาสนาในฐานะภิกษุณีตามพระธรรมวินัย ของพระพุทธองค์โดยชอบธรรม ทั้งนี้โดยต้องมีกฎหมายรับรองอย่างถูกต้องและชัดเจน เป็นไปตามสิทธิแห่งความเป็นมนุษย์ และสอดคล้องกับเจตนารมณ์ขององค์พระศาสดา ข. ประเด็นทางด้านกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการบวชภิกษุณีในประเทศไทยนั้น จากการศึกษาพระไตรปิฎก พบว่า ไม่มีข้อขัดต่อพระวินัยแต่อย่างใด แต่ในประเด็นด้านกฎหมายนั้นต้องดำเนินการ ดังนี้ 1. ยกเลิกประกาศ พ.ศ. 2471 ของพระสังฆราช กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ พระพุทธศาสนาเป็นสมบัติของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ผู้ใดก็ตาม ไม่ว่าเพศใด ที่มีความศรัทธาเลื่อมใส และเชื่อตามพระพุทธองค์ว่าการบวชเป็นเส้นทางลัดอันนำไปสู่ความสงบสุข ความร่มเย็น และเป็นมงคลต่อชีวิตก็ย่อมเข้ามาเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนาได้ ในความเห็นของผู้รู้ที่มาให้ข้อมูลต่อคณะอนุกรรมาธิการว่า ประกาศของสมเด็จพระสังฆราช ที่ห้ามภิกษุสงฆ์บวชสตรีไทยเป็นบรรพชิตนั้น เป็นประกาศที่ใช้เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น ไม่ได้มีการรองรับการประกาศนี้ในระดับสากล อีกทั้งประกาศนี้ก็ไม่ได้มีบทลงโทษแต่อย่างไร หากมหาเถรสมาคมยังคงยืนยันว่าการอุปสมบทสตรีเป็นภิกษุณีโดยภิกษุสงฆ์ไทยนั้นทำไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะขัดต่อประกาศ พ.ศ. 2471 นี้ ข้อยืนยันคัดค้านของมหาเถรสมาคมย่อมขัดกับพุทธานุญาต และทวนกระแสของชาวพุทธในประเทศอื่น ๆ ตามข้อสรุปในหนังสือ มิลินทปญหาฎฐกถา ซึ่งเขียนโดยพระภิกษุชาวพม่า ที่กล่าวไว้ชัดเจนว่าการอุปสมบทสตรีเป็นภิกษุณีจะทำให้พุทธจักรของพระพุทธองค์ครบสมบูรณ์ ตามพุทธดำรัส คือ พุทธบริษัททั้ง 4 2. การออกกฎหมายรับรองสถานภาพ การเป็นนักบวชของภิกษุณี นับเป็นสิ่งจำเป็นมากต่อการพัฒนาศักยภาพ และเป็นการสนับสนุนบทบาทของสตรีไทยในพระพุทธศาสนา การที่ได้รับความคุ้มครองและการรับรองสถานภาพทางกฎหมายจะเป็นสิ่งยืนยันสิทธิเสรีภาพและการสร้างการยอมรับจากสังคม นอกจากนี้การได้รับการรับรองสถานภาพทางกฎหมายจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการพัฒนาบทบาทของสตรีไทยในพระพุทธศาสนาให้มีความเข้มแข็งและเป็นที่ยอมรับของสังคม สามารถก้าวจากการปฏิบัติธรรมในระดับปัจเจกบุคคลไปสู่การรวมกลุ่มเป็น สังฆะ ของฝ่ายสตรี และมีความเป็นสถาบันที่มั่นคงและเป็นปึกแผ่นต่อไป ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนที่จะต้องช่วยผลักดันให้มีการออกกฎหมายขึ้นมารองรับต่อสถานภาพของนักบวชสตรี สิ่งที่ต้องพิจารณาโดยเร่งด่วนนั้นคือต้องเพิ่มคำว่า ภิกษุณี ในร่างพระราชบัญญัติสงฆ์ฉบับใหม่ ค. การฟื้นฟูการบวชสตรีเป็นภิกษุณีนั้นมีรูปแบบที่ไม่ขัดกับพุทธบัญญัติ 2 รูปแบบ ดังนี้ รูปแบบที่ 1 การบวชภิกษุณีโดยภิกษุสงฆ์ตามพุทธานุญาตที่มีอยู่เดิม การอุปสมบทด้วยวิธีนี้ พระภิกษุสงฆ์สามารถทำหน้าที่แทนปวัตตินีในการถามอันตรายิกกรรม และบวชได้โดยภิกษุสงฆ์เพียงฝ่ายเดียว วิธีการบวชโดยสงฆ์ฝ่ายเดียวนี้ยังมีการปฏิบัติอยู่ในประเทศจีนในปัจุบันนี้ รูปแบบที่ 2 การบวชโดยสืบเชื้อสายภิกษุณีสงฆ์จากต่างประเทศ ในปัจจุบันถือว่ายังมีภิกษุณีสงฆ์อยู่ในต่างประเทศหลายประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ รูปแบบในข้อที่ 2 นี้ มีทางเลือกของการบวชภิกษุณีอยู่ 3 ทาง คือ 1. ส่งผู้หญิงไทยที่ได้ศึกษาอบรมดีแล้วหรือถ้าเคยบวชเป็นแม่ชีมาก่อนไปบวชในประเทศศรีลังกา โดยมีสงฆ์ทั้งสองฝ่ายบวชให้ แล้วกลับมาอยู่ในประเทศไทย เมื่อครบองค์สงฆ์แล้วต่อไปก็สามารถดำเนินการร่วมกับภิกษุสงฆ์เพื่อบวชภิกษุณีรุ่นต่อ ๆ ไปได้ 2. นิมนต์สงฆ์ทั้งสองฝ่ายพร้อมกับปวัตตินี และอุปัชฌาย์จากประเทศศรีลังกามาร่วมจัดการบวชภิกษุณีในประเทศไทย เพื่อสืบเชื้อสายต่อไป เมื่อมีภิกษุณีสงฆ์แล้วต่อไปก็สามารถจัดการบวชภิกษุณีร่วมกับภิกษุสงฆ์ไทยได้ 3. นิมนต์ภิกษุณีสงฆ์พร้อมปวัตตินี จากต่างประเทศ มาทำพิธีอุปสมบทร่วมกันกับภิกษุสงฆ์ไทยเพื่อบวชภิกษุณีในประเทศไทยเพื่อสืบเชื้อสายต่อไปและในอนาคตก็สามารถทำการบวชร่วมกับคณะภิกษุสงฆ์ไทยได้ ( สำหรับทางเลือกที่ 3 นี้ สามารถทำได้ต่อเมื่อ ยกเลิกประกาศสมเด็จพระสังฆราช กรมหลวงชินวรศิริวัฒน์ พ.ศ. 2471 ) ง. สังคมได้อะไรจากการบวชภิกษุณี 1. สตรีได้รับการพัฒนาศักยภาพที่เท่าเทียมกับผู้ชาย การบวชภิกษุณีถือได้ว่าเป็นการสร้างศักยภาพของสตรีให้ได้รับการพัฒนา เป็นประชากรที่มีคุณภาพทัดเทียมกับเพศชาย เพราะสังคมไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โครงสร้างของทั้งบ้านเมืองและสถาบันสงฆ์รองรับแต่เพียงเพศชายเท่านั้น ทั้งที่เป็นฆราวาสและสมณะ ผู้ชายอาศัยสถาบันสงฆ์เป็นที่ศึกษาเรียนรู้ปฎิบัติธรรมเพื่อให้เอื้อต่อการดำรงชีพและพัฒนาไปสู่ความดีงาม ทำให้ผู้ชายมีเวลาและโอกาสในการทบทวนและวางแผนชีวิต แต่เมื่อมองย้อนกลับมาดูสถานภาพของเพศหญิงแล้วจะพบว่า เพศหญิงจะขาดโอกาสในการเรียนรู้และปฎิบัติธรรม ส่งผลให้เพศหญิงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพศหญิงที่ มาจากครอบครัวยากจนและอยู่ในชนบทห่างไกลที่ขาดโอกาสในการศึกษาเล่าเรียนจะต้องเข้าสู่ตลาด แรงงานตั้งแต่อายุยังน้อย ขาดทักษะในการดำรงชีวิต ทั้งทางธรรมและทางโลก จึงต้องตกเป็นเหยื่อของสังคมอย่างง่ายดาย สภาพดังกล่าวนี้ นำไปสู่ปัญหาสังคมต่าง ๆ มากมาย อาทิ ปัญหาการขายบริการทางเพศ ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ ปัญหายาเสพติด เป็นต้น ซึ่งรัฐจำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการแก้ปัญหาเหล่านี้ แทนที่จะมีมาตรการป้องกันซึ่งเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า โดยการส่งเสริมให้มีการบวชภิกษุณี เพราะจะทำให้ผู้หญิงมีโอกาสในการเข้าถึงพระธรรม มีหลักในการดำรงชีวิต รวมทั้งมีเวลาในการทบทวนและวางแผนชีวิตเช่นเดียวกันกับผู้ชาย ซึ่งท้ายที่สุดจะนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพที่เท่าเทียมกันกับเพศชาย 2. ปัญหาสังคมจะได้รับการแก้ไขที่ดีขึ้น ในสังคมปัจจุบันสังคมไทย ได้ชื่อว่าเป็นสังคมยุค โลกาภิวัฒน์ เป็นสังคมที่มีการพัฒนาในทุก ๆ ด้านอย่างรวดเร็ว การพัฒนาไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ส่งผลให้สถาบันต่าง ๆ ของสังคม โดยเฉพาะสถาบันครอบครัวที่เป็นสถาบันหลักระดับรากหญ้าที่ให้การอบรมดูแลและขัดเกลาสมาชิกในครอบครัวให้เป็นคนดีมีคุณภาพ และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศอ่อนแอลง ครอบครัวเกิดความแตกแยกเกิดเป็นปัญหาของสังคมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหายาเสพติด ปัญหาขายบริการทางเพศ ปัญหาเหล่านี้จะบรรเทาและคลี่คลายลงได้ ถ้ามีภิกษุณีในสังคมไทย เพราะภิกษุจะเป็นที่ปรึกษาทางจิตใจให้กับสตรี เด็กและให้กับสังคมครอบคลุมกว่าพระภิกษุ เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องที่ไม่กล้าเปิดเผยกับภิกษุ เช่น เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ซึ่งต้องการความเป็นผู้หญิงด้วยกันในการรับฟังและแก้ไข จึงจะทำให้ครอบครัวไทยมีความอบอุ่นและเป็นสุขมากขึ้น ส่งผลให้สังคมโดยรวมมีความสุขสงบปราศจากปัญหาทางสังคม 3. สังคมไทยจะได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ ที่ผ่านมาสังคมไทยปิดกั้นโอกาสของสตรีในการเข้ามาปฎิบัติธรรมในฐานะภิกษุณี สตรีไทยไม่มีโอกาสที่จะใช้ชีวิตในทางธรรมได้อย่างอิสระเป็นตัวของตัวเองแต่ต้องพึ่งพิงขึ้นอยู่กับผู้ชายเท่านั้น สิ่งเหล่านี้เป็นการปิดกั้นสิทธิความเสมอภาคแห่งชายหญิง เป็นการเลือกปฎิบัติอย่างแท้จริง สังคมโลกในปัจจุบันต่างก็ยอมรับสิทธิความเสมอภาคระหว่างชายหญิง และจะร่วมกันประณามประเทศที่ยังมีการเลือกปฎิบัติที่ไม่เท่าเทียมกัน ดังนั้น หากสังคมไทยมีการบวชภิกษุณีแล้ว ย่อมได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ ตามอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฎิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบที่ประเทศไทยได้ร่วมลงนามเป็นภาคี เมื่อปี พ.ศ. 2528 ที่ไม่มีการแบ่งแยก การกีดกัน หรือการจำกัดใด ๆ เพราะเหตุแห่งเพศ 4. สถาบันพระพุทธศาสนา มีความเข้มแข็งมากขึ้น ในปัจจุบันพระพุทธศาสนาในประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตศรัทธานานัปการ ยิ่งถ้าหากไม่ รีบเร่งแก้ไขแล้วพระพุทธศาสนาอาจถึงกาลเสื่อมสูญจากประเทศไทยได้ การบวชภิกษุณีจึงเป็นหนทางที่จะกู้วิกฤตนี้ เพราะการบวชภิกษุณีเป็นการทำให้พระพุทธศาสนามีความเข้มแข็งมากขึ้นและพุทธบริษัทครบองค์ 4 อันเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระพุทธเจ้า ซึ่งในปัจจุบันเรายังขาดภิกษุณีอันเป็นพุทธบริษัทหนึ่งของพระพุทธศาสนา ดังนั้นการแก้ไขปัญหาหรือการส่งเสริมพระพุทธศาสนาจึงยังไม่บริบูรณ์ครบทุกด้าน จ. ข้อเสนอแนะในการฟื้นฟูสถาบันภิกษุณีสงฆ์ 1. เผยแพร่ประชาสัมพันธ์รายงานการศึกษาเรื่อง การบวชภิกษุณีในประเทศไทย สู่ชุมชนทั้งในชุมชนเมืองและชุมชนชนบท 2. สนับสนุนให้คณะสงฆ์ ตลอดทั้งนักวิชาการ ทำการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับภิกษุณีตามแนวทางที่คณะอนุกรรมาธิการด้านสตรีได้จัดทำไว้ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่เป็นเอกภาพ และคณะสงฆ์จะได้เป็นพลังสนับสนุนให้มีการบวชภิกษุณีต่อไป ประเด็นการศึกษาที่สำคัญประเด็นหนึ่ง คือ มาตรการในการกลั่นกรองผู้ขอบวชและการกำกับดูแลให้นักบวชหญิงปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ 3. ติดตามผลการศึกษาของมหาเถรสมาคมและมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง 2 แห่ง เกี่ยวกับการบวชภิกษุณีตามที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีได้ตอบกระทู้ไว้ 4. ในระหว่างที่ยังไม่มีการบวชภิกษุณีรัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนกิจกรรมด้านการศึกษาเรียนรู้ของแม่ชีและอุบาสิกา เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมเสมอภาคที่ใกล้เคียงกับแนวปฏิบัติที่รัฐดำเนินการกับภิกษุสามเณร ซึ่งแต่ละรูปจะได้รับเงินอุดหนุนจากกระทรวงศึกษาธิการจำนวน 6,000 บาทต่อปี ( ข้อมูลจากจดหมายข่าวปาจารยสาร ธรรมานุรักษ์ ปีที่ 2 ฉบับที่ 11 มิถุนายน 2544 ) 5. สนับสนุนให้เพิ่มเติมเนื้อหาเกี่ยวกับภิกษุณีสงฆ์ในหลักสูตรการเรียนรู้เรื่องพระพุทธศาสนาในทุกระดับ 6. ส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพุทธศาสนาให้ลึกซึ้ง เพื่อจะได้เข้าใจในเจตนารมณ์ของพระพุทธองค์ในเรื่องพุทธบริษัท 4 7. ยกเลิกกฎ ระเบียบ ที่ไม่เป็นธรรมต่อการฟื้นฟูการบวชภิกษุณี เพื่อให้พระพุทธศาสนาในประเทศมีความเป็นสากลเท่าเทียมอารยประเทศในการส่งเสริมบทบาทและการมีส่วนร่วมของสตรีในการปฏิบัติธรรมและการบวช 8. กำชับให้เจ้าหน้าที่ของรัฐให้การปฏิบัติต่อนักบวชสตรี ซึ่งได้ทำการบวชอย่างถูกต้องในนิกายอื่น 9. ปรับเปลี่ยนทัศนะของสังคมให้เห็นว่าการศึกษาปฏิบัติธรรมของสตรีเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกเพศทุกวัย ซึ่งถ้ากระทำในกรอบของรัฐธรรมนูญแล้วย่อมต้องได้รับการยอมรับ ความส่งท้าย คุณค่าของพุทธศาสนามิได้มีต่อเฉพาะสังคมไทยเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าอเนกอนันต์ต่อมนุษยชาติ ดังจะเห็นได้จากการที่ชาวต่างประเทศทั้งหญิงและชายได้เกิดความศรัทธาเลื่อมใสเข้ามาศึกษาปฏิบัติและทำการบวชมากขึ้นเรื่อยๆ องค์การสหประชาชาติได้ให้การยอมรับบทบาทของพุทธศาสนาในการสร้างสันติสุขและสันติภาพของโลก ดังจะเห็นได้จากการประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก ประเทศไทยมีจำนวนประชากรที่เป็นพุทธศาสนิกชนที่มากที่สุดในโลก อีกทั้งพระมหากษัตริย์ต้องทรงเป็นพุทธมามกะ จึงกล่าวได้ว่าประเทศไทยได้สืบทอดมรดกทางพระพุทธศาสนามาจากดินแดนเก่าแก่ดั้งเดิม ดังนั้นจึงควรรักษาสถานะและบทบาทความเป็นผู้นำทางด้านนี้ จากการศึกษาค้นคว้าถึงกำเนิดความเป็นมาของภิกษุณีโดยคณะอนุกรรมาธิการด้านสตรีเป็นการศึกษาอย่างรอบด้านจากเอกสารและจากการรับฟังความคิดเห็นของผู้รู้ซึ่งการศึกษาดังกล่าวทำให้ได้ข้อสรุปว่าสังคมไทยยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการบวชภิกษุณีมาเป็นเวลาช้านาน โดยเข้าใจว่าการบวชภิกษุณีขัดต่อพระธรรมวินัยการเชื่อโดยยึดถือและฟังกันต่อ ๆ มาเช่นนี้ขัดแย้งต่อหลักกาลามสูตรอันเป็นคำสอนที่สำคัญของพระพุทธองค์ ดังนั้นถ้าคณะสงฆ์และฝ่ายบ้านเมืองเห็นพ้องต้องกันว่าการบวชภิกษุณีนอกจากจะไม่ขัดต่อพระวินัยแล้วยังสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่เคารพต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิงอีกด้วย ดังนั้นสถาบันสงฆ์และรัฐควรจะสนับสนุนซึ่งกันและกันให้มีการฟื้นฟูการบวชภิกษุณี สถาบันภิกษุณีเป็น สังฆะ ที่จะส่งเสริมสิทธิและโอกาสของสตรีในการฝึกฝนพัฒนาตนด้วย ระบบบวชเรียน และทำให้สตรีสามารถใช้ศักยภาพในทางธรรมของตนเพื่อความอยู่รอดของสังคมไทยและมนุษยชาติ การบวชสตรีเป็นภิกษุณีเป็นเจตนารมณ์ ที่แท้จริงของพระพุทธองค์ ที่ทรงดำริไว้แล้วตั้งแต่ได้ตรัสรู้ใหม่ ๆ ขณะที่ประทับใต้ต้นอชปานิโครม ไม่มีใครที่จะบีบบังคับให้พระพุทธองค์ทรงหันเหจิตใจได้ ดังนั้น การที่พระพุทธองค์ ทรงให้สตรีบวชในพระพุทธศาสนาได้ คงต้องเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของสตรีแล้วว่า การเปิดโอกาสให้สตรีเข้าสู่ศาสนจักรในฐานะ ภิกษุณี นั้นเป็นเส้นทางลัด เพื่อประโยชน์ต่อตัวสตรีเอง และต่อสังคมโดยรวม
|
บทที่
1 เหตุผลและความจำเป็นของการศึกษา บทที่ 2 กำเนิดและวิธีการบวชภิกษุณี บทที่ 3 บทที่ 4 บทที่ 5 บทสรุปและข้อเสนอแนะ |
กลับหน้า ข่าวล่า |
|
วัตรทรงธรรมกัลยาณี
เลขที่ 195 ถนนเพชรเกษม
ต. พระประโทน
อ. เมืองฯ จ. นครปฐม
73000 |