ตอบ
การบวชคืออะไร
1.เป็นการค้นหาอะไร ที่มันดีกว่าอยู่บ้านเรือน
2.ให้เป็นการทดลองอยู่อย่างไม่มีทรัพย์สมบัติ อยู่อย่างต่ำต้อย พระเณรรูปไหนที่จะบวชเพียงเดือนเดียว ก็ขอขอให้ถือเป็นโอกาสทดลองว่า จะมีชีวิตอยู่อย่างต่ำต้อย ไม่ต้องมีสมบัติเลย
3.ทดลองการบังคับตัว บังคับจิต บังคับความรู้สึก บังคับ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ
4.ทดลองสละทรัพย์สมบัติ ของรัก ของพอใจ ทดลองไปทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรทดลอง
5.ประโยชน์ต่อตัวผู้บวช ได้เรียนรู้ธรรมะ ได้ปฏิบัติจริงได้ผลจริงๆ และได้รับสิ่งใหม่ที่ดีที่สุด คือเรื่องของพระธรรม ที่ทำให้บุคคลนั้นพ้นจากความทุกข์
6.ประโยชน์ต่อญาติผู้บวช ญาติพี่น้องทั้งบิดามารดา จะได้ใกล้ชิดพระศาสนามีความปิติยินดีในธรรมและศาสนามากขึ้น เรียกว่า เป็นญาติทางศาสนานั้นเอง ประโยชน์ทั้งหลายต่อสัตว์ทั้งหลาย ที่เวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร และทั้งประโยชน์ต่อพระศาสนาเนื่องจากผู้บวช จะเป็นผู้เผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่บุคคลทั่วไป และยั่งเป็นผู้สืบอายุพระศาสนาไว้ ให้คงอยู่คู่ลูกหลานคนไทยสืบไป
ในเมื่อบวชได้เพียงหนึ่งเดือน มันก็จะเป็นการบวชที่มีอานิสงค์มหาศาล อย่างที่ท่านอาจารย์แต่กาลก่อนท่านพูดไว้เป็นอุปมา เพื่อการคำนวณเพราะว่าไม่อาจจะพูดเป็นอย่างอื่น คือท่านพูดว่า ให้เอาฟ้าทั้งหมดนี้เป็นเหมือนแผ่นกระดาษ แล้วภูเขาพระสุเมรุเป็นเหมือนปากกาหรือพู่กัน ให้เอาแผ่นดินเป็นเหมือนกับหมึก เอาน้ำในมหาสมุทรเป็นน้ำละลายหมึก แล้วเขียนกันให้เป็นท้องฟ้า มันก็ไม่หมดอานิสงค์ของการบวช ท่านไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร ก็เลยพูดไว้เป็นอุปมาอย่างนั้น ว่าการบวช ถ้าบวชกันจริงมันมีอานิสงค์มากกว่านั้น
ประวัติความเป็นมาของคำว่า "นาค"
ชายเมื่อมีอายุครบ20ปีบริบูรณ์ จะสามารถอุปสมบท หรือบวช เป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เพื่อศึกษาธรรมวินัยนำมาเป็นหลักในการประพฤติปฎิบัติต่อไปในการออกมาครองเรือนในภายภาคหน้าได้ สำหรับก่อนการบวชเรียนจะมีการไปอยู่วัดเพื่อเตรียมฝึกหัดในการท่องคำขานนาค และฝึกหัดซ้อมเกี่ยวกับวิธีบวช ในช่วงที่มาอยู่วัดนี้ ชาวบ้านจะเรียกผู้เตรียมตัวจะบวชว่า "นาค" หรือ " "พ่อนาค" "
อาจมีหลายๆคนสงสัยว่า ทำไมต้องเรียกผู้จะบวชว่านาค ทำไมไม่เรียกชื่ออื่น ประวัติความเป็นมาของคำว่า ""นาค" อาจทำให้หลายๆคนหายข้องใจได้ ซึ่งประวัติของคำว่า "นาค" มีดังนี้
ในสมัยพุทธกาล เมื่อครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์อยู่ มีพญานาคผู้หนึ่งได้แปลงร่างเป็นมนุษย์เข้ามาบวชเป็นพระภิกษุ อยู่มาวันหนึ่งได้เผลอนอนหลับ ร่างจึงกลับกลายเป็นพญานาคดั่งเดิม ภิกษุอื่นไปพบเข้าก็เกิดความเกรงกลัว เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบจึงเรียกมาตรัสถาม ได้ความว่าเพราะเกิดความศรัทธาในพระพุทธศาสนาจึงปลอมตัวมาบวช พระพุทะองค์ทรงดำริว่าสัตว์ดิรัจฉานไม่อยู่ในฐานะควรจะบวชจึงโปรดให้ลงเพศบรรพชิตกลับไปเป็นาคดั่งเดิม แต่ภิกษุนั้นมีความอาลัย จึงขอฝากชื่อนาคไว้ในพระพุทธศาสนา ดังนั้นจึงมีคำเรียกขานคนที่ต้องการจะบวชว่า "นาค" สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
คุณสมบัติการบรรพชาอุปสมบท
สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ก็ถือว่ามีส่วนสำคัญในการคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมจะมาอยู่ในสมณเพศ การหละหลวมในการพิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้ที่จะมาบวชให้คนทั่วไปเขากราบไหว้ นับถือ มีส่วนทำให้สถาบันศาสนาสั่นคลอน ดังจะเห็นได้จากสิ่งที่เคยเกิดขึ้นว่า คนเคยต้องโทษจำคุกในคดีอาญามาบวชเป็นพระแล้วก็นอกจากจะไม่อยู่ในศีลแล้วยังก่อคดีอุกฉกรรจ์อีกจนได้
ผู้ที่จะบวชเป็นสามเณรหรือพระได้ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
๑.เป็นสุภาพชนที่มีความประพฤติดีประพฤติชอบ ไม่มีความประพฤติเสียหาย เช่นติดสุราหรือยาเสพติดให้โทษเป็นต้น และไม่เป็นคนจรจัด
๒.มีความรู้อ่านและเขียนหนังสือไทยได้
๓.ไม่เป็นผู้มีทิฏฐิวิบัติ
๔.ไม่เป็นคนล้มละลาย หรือมีหนี้สินผูกพัน
๕.เป็นผู้ปราศจากบรรพชาโทษ และมีร่างกายสมบูรณ์ อาจบำเพ็ญสมณกิจได้ ไม่เป็นคนชราไร้ความสามารถหรือทุพพลภาพ หรือพิกลพิการ
๖.มีสมณบริขารครบถ้วนและถูกต้องตามพระวินัย
๗.เป็นผู้สามารถกล่าวคำขอบรรพชาอุปสมบทได้ด้วยตนเอง และถูกต้องไม่วิบัติ
ต่อไปนี้เป็นลักษณะต้องห้ามสำหรับผู้จะบวชได้แก่
๑.เป็นคนทำความผิด หลบหนีอาญาแผ่นดิน
๒.เป็นคนหลบหนีราชการ
๓.เป็นคนต้องหาในคดีอาญา
๔.เป็นคนเคยถูกตัดสินจำคุกฐานเป็นผู้ร้ายสำคัญ
๕.เป็นคนถูกห้ามอุปสมบทเด็ดขาดทางพระศาสนา
๖.เป็นคนมีโรคติดต่ออันน่ารังเกียจ เช่นวัณโรคในระยะอันตราย
๗.เป็นคนมีอวัยวะพิการจนไม่สามารถปฏิบัติกิจพระศาสนาได้
สิ่งต่างๆ ข้างต้นจะมีเขียนถามไว้ในใบสมัครขอบวชซึ่งต้องไปเขียนที่วัดนั้นๆ
เครื่องอัฏฐบริขาร
อัฏฐบริขารซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดเสียมิได้ มีความหมายว่า บริขาร ๘ แบ่งเป็นผ้า ๕ อย่างคือ สบง ๑ ประคตเอว ๑ จีวร ๑ สังฆาฏิ ๑ ผ้ากรองน้ำ ๑
และเหล็ก ๓ อย่างคือ บาตร ๑ มีดโกน ๑ เข็มเย็บผ้า ๑
คำขอบรรพชา อุปสมบท
ผู้ขอบรรพชานั่งคุกเข่าประคองผ้าไตรประนมมือ เปล่งคำขอว่า
เอสาหัง ภันเต, สุจิระปะรินิพพุตัมปิ, ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ, ละเภยยาหัง ภันเต, ตัสสะ ภะคะวะโต, ธัมมะวินะเย ปัพพัชชัง, ละเภยยัง อุปะสัมปะทัง.ฯ
ทุติยัมปาหัง ภันเต, สุจิระปะรินิพพุตัมปิ, ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ, ละเภยยาหัง ภันเต, ตัสสะ ภะคะวะโต, ธัมมะวินะเย ปัพพะชัง, ละเภยยัง อุปะสัมปะทัง.ฯ
ตะติยัมปาหัง ภันเต, สุจิระปะรินิพพุตัมปิ, ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ, ละเภยยาหัง ภันเต, ตัสสะ ภะคะวะโต, ธัมมะวินะเย ปัพพะชัง, ละเภยยัง อุปะสัมปะทัง ฯ
อะหัง ภันเต, ปัพพัชชัง ยาจามิ, อิมานิ กาสายานิ วัตถานิ คะเหตวา, ปัพพาเชถะ มัง ภันเต, อะนุกัมปัง อุปาทายะ,ฯ
ทุติยัมปิ อะหัง ภันเต, ปัพพัชชัง ยาจามิ, อิมินา กาสายานิ วัตถานิ คะเหตวา, ปัพพาเชถะ มัง ภันเต, อะนุกัมปัง อุปาทายะ, ฯ
ตะติยัมปิ อะหัง ภันเต, ปัพพัชชัง ยาจามิ, อิมินา กาสายานิ วัตถานิ คะเหตวา, ปัพพาเชถะ มัง ภันเต, อะนุกัมปัง อุปาทายะ. ฯ ( จบคำขอบรรพชา อุปสมบท ตอนที่1)
(ข้อสังเกต การออกเสียงภาษาไทย กับ ภาษามคธ นั้น ต่างกันเฉพาะตอนนี้มีอยู่ ๒ คำ คือ ตัว พ...(พาน) กับตัว ท..(ทหาร) ภาษามคธตัว พ. ออกเสียงคล้ายตัว บ (ใบไม้) อย่างเช่น.....สุจิระปะรินิพพุตัมปิ ออกเสียงเป็น สุจิระปะรินิพ บุ ตัมปิ, ตัว ท. ออกเสียงคล้ายตัว ด (เด็ก).........อุปะสัมปะทัง เป็น อุปะสัมปะ ดัง., เฉพาะตัว ญ. ฎ. ฐ. ณ. ออกเสียงเป็นพิเศษให้ขึ้นนาสิก - เพดาน )
เมื่อว่าคำขอบรรพชาอุปสมบทจบแล้ว น้อมตัวถวายผ้าไตรในมือแด่อุปัชฌาย์ แล้วนั่งพับเพียบประนมมือฟังคำสอนจากพระอุปัชฌาย์...........เมื่อพระอุปัชฌาย์สอนจบ บอก ตจปัญจกกัฏฐาน พึงว่าตามท่านไปทุกๆคำดังนี้
เกสา, โลมา, นะขา, ทันตา, ตะโจ, (อย่างนี้เรียกว่า ว่าโดยอนุโลม) แล้วว่าถอยกลับอีกครั้ง
ตะโจ , ทันตา, นะขา, โลมา, เกสา, (อย่างนี้เรียกว่า ว่าโดยปฏิโลม)
เมื่อพระอุปัชฌาย์อธิบายถึงข้อกรรมฐานพอสมควรแล้ว ท่านก็หยิบผ้าอังสะสวมให้ ตอนนี้ผู้บวชลุกขึ้นนั่งคุกเข่าน้อมตัวลงแต่พองาม เมื่อท่านสวมผาอังสะเข้าบ่าแล้ว ยกผ้าไตรมอบให้ในมือ น้อมตัวเข้ารับและคอยฟังคำแนะนำวิธีครองผ้ามี่ถูกต้องเป็นปริมณฑล ผู้บวชนำผ้าไปครอง สำเร็จเป็นสามเณร แล้วเข้าไปกราบพระเถระซึ่งเป็นอาจารย์ให้สรณะและศีลฯ ปูผ้ากราบลงยกพานดอกไม้ถวายท่านแล้วกราบลงบนผ้ากราบ ๓ ครั้ง ว่าคำขอสรณะและศีล ต่อไป ดังนี้ ฯ
อะหัง ภันเต, สะระณะสีลัง ยาจามิ.
ทุติยัมปิ อะหัง ภันเต, สะระณะสีลัง ยาจามิ.
ตะติยัมปิ อะหัง ภันเต, สะระณะสีลัง ยาจามิ. ฯ
เมื่อพระเถระอาจารย์บอก(ให้) สรณะและศีลก็พึงว่าตามท่านไป โดยว่า นะโม ก่อน ดังต่อไปนี้
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ครั้ง) (อย่าลืม ออกเสียงตัว พ. คล้ายตัว บ สัมบุทธัสสะ) และเมื่อท่านว่า "เอวัง วะเทหิ" พึงรับว่า "อามะ ภันเต" ต่อไปว่าคำถึงสรณะ และศีลตามท่านตามลำดับ
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
. ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ.
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ฯ
เมื่อพระเถระอาจารย์กล่าวคำว่า "สะระณะ คะมะนัง นิฏฐิตัง" พึงรับว่า "อามะ ภันเต" ต่อไปรับศีล ๑๐
๑. ปาณาติปาตา เวระมะณี ( ตัว ณ (เณร) ว่าขึ้นนาสิก ณี)
๒. อะทินนาทานา เวระมะณี (ตัว ท (ทหาร) ออกเสียงคล้ายตัว ด )
๓. อะพรัหมะจะริยา เวระมะณี
๔. มุสาวาทา เวระมณี
๕. สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี
๖. วิกาละโภชะนา เวระมะณี
๗. นัจจะ คีตะ วาทิตะ วิสูกะ ทัสสะนา เวระมะณี
๘. มาลาคันธะ วิเลปะนะ ธารนะ มัณฑะนะ วิภูสะนัฏฐานา เวระมะณี
๙. อุจจาสะยะนะ มะหาสะยะนา เวรมณี
๑๐. ชาตะรูปะระชะตะปะติคคะหะณา เวรมณี ฯ
อิมานิ ทะสะ (ดะสะ) สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ. (ว่า ๓ ครั้ง) กราบลง ๓ ครั้ง
( ผู้จะอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อรับศีลเสร็จแล้ว กราบอาจารย์ผู้ให้สรณะและรับศีลแล้ว ลุกขึ้นไปรับบาตรจากโยมแม่ โยมพ่อ ถือบาตรเข้าไปหาพระอุปัชฌาย์ ปูผ้ากราบลงโดยวางบาตรลงทางด้านซ้ายมือ ยกพานดอกไม้ถวายพระอุปัชฌาย์, กราบลงบนผ้ากราบ ๓ ครั้ง ) นั่งคุกเข่าประนมมือกล่าวคำขอนิสัย ว่าดังนี้
อะหัง ภันเต, นิสสะยัง ยาจามิ.
ทุติยัมปิ อะหัง ภันเต, นิสสะยัง ยาจามิ.
ตะติยัมปิ อะหัง ภันเต, นิสสะยัง ยาจามิ.
แล้วว่าต่อ อุปัชฌาโย เม ภันเต โหหิ. (ว่า ๓ ครั้ง ) เมื่อพระอุปัชฌาย์กล่าวคำว่า " โอปายิกัง " พึงรับว่า สาธุ ภันเต
เมื่อพระอุปัชฌาย์กล่าวคำว่า " ปฏิรูปัง" พึงรับว่า สาธุ ภันเต
เมื่อพระอุปัชฌาย์กล่าวคำว่า " ปาสาทิเกนะ สัมปาเทหิ " พึงรับว่า สาธุ ภันเต
ต่อจากนั้นว่า "อัชชะตัคเคทานิ เถโร มัยหัง ภาโร, อะหัมปิ เถรัสสะ ภาโร " ( ๓ หน ) จบแล้วกราบ ๓ ครั้ง เมื่อพระอุปัชฌาย์บอกถึงวาระที่จะทำพิธีสวดญัตติกรรมบอกถึงฉายาของผู้ขออุปสมบท และฉายาของพระอุปัชฌาย์เองจบแล้ว อาจารย์ผู้สวดกรรมวาจา เอาบาตรสวมให้ บอกบาตร จีวร ฯลฯ ผู้อุปสมบทพึงรับคำว่า ดังนี้
อาจารย์ว่า อะยัน เต ปัตโต พึงรับว่า อามะ ภันเต
อาจารย์ว่า อะยัง สังฆาฏิ พึงรับว่า อามะ ภันเต
อาจารย์ว่า อะยัง อุตตะราสังโค พึงรับว่า อามะ ภันเต
อาจารย์ว่า อะยัง อันตะระวาสะกัง พึงรับว่า อามะ ภันเต
เมื่อพระกรรมวาจารย์กล่าวคำว่า "คัจฉะ อะมุมหิ โอกาโส ติฏฐาหิ" ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนกลับหลังหันเดินตรงประนมมือออกไปยืน ณ ที่ๆ เขาปูผ้าไว้ แล้วกลับหลังหันมาทางพระสงฆ์ เมื่อพระกรรมวาจารย์ลุกขึ้นออกจากประชุมสงฆ์ไปยืนประจันหน้าเพื่อชักซ้อมถามอันตรายิกกรรม...........เมื่อท่านถามถึงคำว่า..........
กุฏฐัง พึงตอบท่านว่า นัตถิ ภันเต
คัณโฑ พึงตอบท่านว่า นัตถิ ภันเต
กิลาโส พึงตอบท่านว่า นัตถิ ภันเต
โสโส พึงตอบท่านว่า นัตถิ ภันเต
อะปะมาโร พึงตอบท่านว่า นัตถิ ภันเต
. เมื่อท่านถามต่อไปว่า
มะนุสโสสิ๊ พึงตอบท่านว่า อามะ ภันเต
ปุริโสสิ๊ พึงตอบท่านว่า อามะ ภันเต
ภะชิสโสสิ๊ พึงตอบท่านว่า อามะ ภันเต
อะนะโณสิ๊ พึงตอบท่านว่า อามะ ภันเต
นะสิ๊ ราชะภะโฏ พึงตอบท่านว่า อามะ ภันเต
อนุญญาโตสิ๊ มาตาปิตูหิ พึงตอบท่านว่า อามะ ภันเต
ปะริปุณณะวีสะติวัสโสสิ๊ พึงตอบท่านว่า อามะ ภันเต
ปะริปุณณันเต ปัตตะจีวะรัง พึงตอบท่านว่า อามะ ภันเต
พระภิกษุต้องถือศีล ๒๒๗ ข้ออันได้แก่
ศีล ๒๒๗ ข้อที่เป็นวินัยของสงฆ์ ทำผิดถือว่าเป็นอาบัติ สามารถแบ่งออกได้เป็นลำดับขั้น ตั้งแต่ขั้นรุนแรงจนกระทั่งเบาที่สุดได้ดังนี้ ได้แก่
ปาราชิก มี ๔ ข้อ
สังฆาทิเสส มี ๑๓ ข้อ
อนิยต มี ๒ ข้อ (อาบัติที่ไม่แน่ว่าจะปรับข้อไหน)
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ข้อ (อาบัติที่ต้องสละสิ่งของว่าด้วยเรื่องจีวร ไหม บาตร อย่างละ ๑๐ข้อ)
ปาจิตตีย์ มี ๙๒ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่ไม่ต้องสละสิ่งของ)
ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่พึงแสดงคืน)
เสขิยะ (ข้อที่ภิกษุพึงศึกษาเรื่องมารยาท) แบ่งเป็น
สารูปมี ๒๖ ข้อ (ความเหมาะสมในการเป็นสมณะ)
โภชนปฏิสังยุตต์ มี ๓๐ ข้อ (ว่าด้วยการฉันอาหาร)
ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ มี ๑๖ ข้อ (ว่าด้วยการแสดงธรรม)
ปกิณสถะ มี ๓ ข้อ (เบ็ดเตล็ด)
อธิกรณสมถะ มี ๗ ข้อ (ธรรมสำหรับระงับอธิกรณ์)
รวมทั้งหมดแล้ว ๒๒๗ ข้อ ผิดข้อใดข้อหนึ่งถือว่าต้องอาบัติ การแสดงอาบัติสามารถกล่าวกับพระภิฏษุรูปอื่นเพื่อเป็นการแสดงตนต่อความผิดได้ แต่ถ้าถึงขั้นปาราชิกก็ต้องสึกอย่างเดียว
ปาราชิก มี ๔ ข้อได้แก่
๑. เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย (ร่วมสังวาสกับคนหรือสัตว์)
๒. ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย)
๓. พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน)หรือแสวงหาศาสตราอันจะนำไปสู่ความตายแก่ร่างกายมนุษย์
๔. กล่าวอวดอุตตริมนุสสธัมม์ อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง)
บทกิจวัตรเมื่อเป็นพระ
๑.ลงอุโบสถ (ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น)
๒.บิณฑบาตรเลี้ยงชีพ
๓.สวดมนต์ไหว้พระ
๔.กวาดอาวาสวิหารลานพระเจดีย์
๕.รักษาผ้าครอง
๖.อยู่ปริวาสกรรม
๗.โกนผม ปลงหนวด ตัดเล็บ
๘.ศึกษาสิกขาบทและปฏิบัติพระอาจารย์
๙.เทศนาบัติ
๑๐.พิจารณาปัจจเวกขณะทั้ง ๔ เป็นต้น
โดยคุณ : Zetone -
[ 12 ธ.ค. 2004 , 16:30:54 น.]
|